ตลาดของคนโสด


นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา พฤษภาคม 2552


ในอดีตคนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อบ้านมากกว่าคอนโดมิเนียม แต่หลังจากวิถีชีวิตเปลี่ยนไป คนวัยทำงานเริ่มแต่งงานน้อยโดยเฉพาะคนโสดเลือกอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมมากกว่า

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้ซื้อคอนโดมิเนียมและผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมภายในเวลา 1 ปี โดยเลือกสำรวจคอนโดมิเนียมในรัศมี 2 กิโลเมตรจากแนวรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลพบว่า ส่วนใหญ่เป็นตลาดคนโสดที่มีรายได้ 2-4 หมื่นบาท

ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ว่าจ้างบริษัท มาร์เก็ตติ้งมูฟ จำกัด สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 420 คนในช่วงปลายปี 2551 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ได้ซื้อคอนโดมิเนียมแล้ว 205 ราย และกลุ่มที่สนใจจะซื้อคอนโดมิเนียมภายใน 1 ปี จำนวน 215 ราย

กลุ่มที่ได้ซื้อคอนโดมิเนียมแล้วในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ปีที่ผ่านมา เป็นกลุ่มที่ซื้อคอนโดมิเนียมในราคาไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท และซื้อในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่สำรวจจากแบบสอบ ถามผู้ซื้อจำนวน 205 ราย พบว่าเป็นคนโสดร้อยละ 54 มีช่วง อายุ 25-34 ปี ทำงานบริษัทเอกชนร้อยละ 41 รายได้ส่วนตัวเฉลี่ย 2-4 หมื่นบาท จำนวนร้อยละ 61

คนโสดเหล่านี้จะซื้อคอนโดมิเนียมในราคา 1.6-2 ล้านบาท และซื้อห้องขนาด 30.5-40 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ โดยศึกษาข้อมูลจากแผ่นพับประชาสัมพันธ์

ส่วนกลุ่มที่สนใจจะซื้อคอนโดมิเนียมภายใน 1 ปี จำนวน 215 ราย เป็นกลุ่มคนโสดที่มีช่วงอายุระหว่าง 25-34 ปี และมีรายได้เท่ากับกลุ่มที่ได้ซื้อคอนโดมิเนียมไปแล้ววิถีชีวิตของกลุ่มคนโสดเปลี่ยนไปโดยเลือกพักอาศัยอยู่ใกล้สำนักงานหรือใกล้รถไฟฟ้าใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 30 นาที

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศรัณยพงศ์ เที่ยงธรรม ผู้จัดการศูนย์ที่ปรึกษาทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ บอกว่ากลุ่มตัวอย่างของผู้สำรวจส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในห้องเช่าประเภทแฟลตหรืออพาร์ตเมนต์ เป็นกลุ่มที่ยังไม่มีหน่วยงานวิจัยเคยสำรวจมาก่อน

สำหรับภาระค่าใช้จ่ายหลักๆ ของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวร้อยละ 50-60 ที่เหลือเป็นภาระเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัว ร้อยละ 10 มีเงินฝากประมาณ 5 หมื่นถึง 2 แสนบาทขึ้นไป แต่กลุ่มที่ซื้อคอนโดมิเนียมไปแล้วมีเงินเก็บสูงถึงระดับ 5 แสนบาท เก็บจากเงินฝาก 100% ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุนประเภทอื่น ได้แก่ RMF/LTF หรือลงทุนในหุ้น พันธบัตร ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะสามารถนำไปหักภาษีได้ก็ตาม

นอกเหนือจากเป้าหมายหลักในการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่จากสถานการณ์น้ำมันแพง ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมคึกคักจึงทำให้ผู้ซื้อบางส่วนหวังขายต่อหรือปล่อยให้เช่า เพราะมองว่าเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับอนาคต

สำหรับวิธีการชำระเงิน ผู้ซื้อจะยืมเงินผู้อื่นเพื่อวางดาวน์ส่วนการโอนยังคงใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน ดังนั้นมาตรการภาครัฐจึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น-ลงมีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อเป็นอย่างมาก

อย่างเช่นกรณีคำถามของศูนย์ข้อมูลฯ เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยหากขึ้นร้อยละ 10 กว่า ผลสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งหนึ่งตัดสินใจที่จะหยุดซื้อคอนโดมิเนียม

ตลาดคนโสดเป็นตลาดที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คงจะไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป เพราะเป็นกลุ่มที่มีเงิน มีการศึกษาและไม่มีภาระเรื่องครอบครัว

แผนการเงินสำหรับคนโสด


MoneyPro: วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ wiwan.th@kasikornresearch.com

วารสารสหประกันชีวิต ฉบับที่ 10 ประจำเดือนมิถุนายน 2552 หน้า 14

คนหลายคนมองว่าการทำงานมีเงินเดือน คือความมั่นคง ยิ่งเงินเดือนมาก ความมั่นคงยิ่งมากขึ้นตามแต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินเดือนคือค่าจ้าง นั้นคือ ค่าแรงที่คนที่รักเงินเดือนได้ลงแรงทำไป

แต่ถ้าเราย้อนนึกไปถึงวันที่เราขาดซึ่งแรงที่จะทำงานได้ต่อไปเงินเดือนจากการทำงานก็จะไม่มีเช่นกัน จึงทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าสุดท้ายแล้วความมั่นคงที่แท้จริงคืออะไร ใช่เพียงแค่เงินเดือนเท่านั้นหรือ

ชีวิตคนทำงานประจำไม่ว่าจะอยู่ระดับไหน ลูกน้อง หัวหน้า ผู้จัดการ ล้วนแล้วแต่เป็นลูกจ้างทั้งหมดทั้งสิ้น ทำงานได้ก็มีเงินเดือน ทำงานไม่ไหว เจ็บป่วย แก่ตัวลงไปก็ต้องถูกปลดออกจากงาน ตกอยู่ในภาวะขาดรายได้ และถ้าวันนั้นมาถึง เราเข้าจริง ๆ คุณคิดว่าคุณมีหลักความมั่นคงให้ได้ยึดจับหรือยัง

แผนการเงินของคนโสดไม่แตกต่างกับแผนการเงินของผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีบุตร เพราะสามารถตัดเรื่องการวางแผนเพื่อการศึกษาของบุตรไปได้ คงเหลือเฉพาะการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงาน เพราะต้องดูแลตัวเอง และอาจจะต้องวางแผนเพื่อเลี้ยงดูบุพการีด้วย

คนโสดในวัยสามสิบเศษ หากไม่คิดว่าจะมีครอบครัวก็สามารถวางแผนซื้อบ้านได้ ในภายหลังหากมีครอบครัวก็ไม่ต้องหาซื้ออีก แค่ถ้าหากไม่มีครอบครัวและมาเริ่มซื้อตอนอายุ 40 หรือ 45 ปี อาจจะช้าไปหน่อยค่ะ ผ่อนไม่ไหว ประมาณเอาว่าเริ่มวางแผนซื้อบ้านตั้งแต่อายุ 35 ปี ก็น่าจะดีค่ะ

นอกจากนั้น ยังต้องวางแผนเรื่องการดูแลสุขภาพด้วย ทำร่างกายให้แข็งแรง และเลือกดูแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสม ในกรณีที่ที่ทำงานไม่ได้ครอบคลุมการประกันสุขภาพให้ เพราะข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งของคนโสดคือ เวลาเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้ จะไม่มีรายได้จากคู่สมรสมาช่วย ทุกอย่างจึงต้องอาศัยตนเองทั้งสิ้น นอกเสียจากว่าท่านจะมีญาติพี่น้องคอยดูแลอีกชั้นหนึ่ง

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนโสดค่ะ เพราะทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในชีวิตของท่านก็คือตัวของท่าน และถ้าท่านไม่อยากให้ตัวท่านเองเป็นภาระของตัวเองในยามชราภาพ ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีเลิศ

สุขภาพจิตก็สำคัญค่ะ เนื่องจากท่านไม่มีลูกให้ดุ ไม่มีคู่สมรสให้ต่อว่า ท่านอาจจะสะสมความเครียดโดยไม่รู้ตัว ต้องมีการระบายความเครียด อาจจะด้วยการออกกำลังกาย ด้วยการทำสมาธิ ด้วยการศึกษาศาสนา อ่านหนังสือธรรมะ ฯลฯ

การวางแผนประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่ควรจะทำค่ะ และสำคัญกว่าแผนประกันชีวิต โดยเฉพาะท่านที่ทำงานอิสระหรือหน่วยงานที่สังกัดไม่ได้ให้การดูแลในเรื่องสุขภาพ แต่สำหรับท่านที่ต้องเลี้ยงดูบุพการี ท่านควรจะต้องวางแผนประกันชีวิต เช่นเดียวกับผู้มีครอบครัวและต้องเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรค่ะ

หากท่านเป็นคนโสด ท่านก็วางแผนแบบคู่สมรสใหม่กับแบบวัยก่อนเกษียณ คือ เมื่อยังอายุน้อยก็เน้นการวางแผนการใช้จ่าย และแผนการลงทุน พออายุเพิ่มขึ้นก็เน้นการวางแผนเกษียณเพิ่มเติม ถ้าท่านมีภาระเลี้ยงดูผู้อื่น ท่านก็ต้องวางแผนประกันภัย (ประกันชีวิต) เพิ่มสำหรับแผนการลงทุนนั้น เป็นแผนที่ได้ใช้ตลอดช่วงอายุค่ะ จึงมีความสำคัญ และเป็นส่วนที่ยากและท้าทายความสามารถมากที่สุด

ในส่วนนี้ขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้รู้ เพราะหากวางแผนลงทุนไม่ดี เงินที่เก็บมาทั้งชีวิต อาจลดลงไปทำให้ไม่สามารถเกษียณอายุงานได้เร็วขึ้นตามที่เคยวางแผนเอาไว้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลงทุนมีความผันผวนมาก ท่านต้องวางแผนและลงมือปฏิบัติด้วยความระมัดระวังค่ะ

การวางแผนการเงินเป็นเรื่องที่ไม่ยากใช่ไหมคะ ท่านจะเห็นว่าความสำคัญของการวางแผนการเงินในแต่ละช่วงชีวิต จะเน้นประเภทของแผนที่แตกต่างกัน ตอนยังไม่มีเงินออมก็ต้องออมเงินก่อน เมื่อมีเงินพอสมควรก็ต้องลงทุน เมื่อมีทรัพย์สินมากพอสมควรก็ต้องทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองชีวิตและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน และเมื่อมีโอกาส ต้องวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงานที่สุขสบาย ทั้งนี้และทั้งนั้น ในทุกช่วงอายุต้องดูแลสุขภาพให้ดีค่ะ* *

กล่าวกันอยู่เสมอว่า แผนการเงินของแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน นอกจากจะแตกต่างกันตามช่วงเวลาของชีวิตแล้ว ยังแตกต่างกันเพราะรสนิยม ความชอบ ค่านิยมในการใช้ชีวิต ความประทับใจ และความเชื่อส่วนบุคคล ความผูกพันและผลกระทบต่อจิตใจ วัฒนธรรมของแต่ละสังคม ฯลฯ

ดังนั้นเวลาวางแผนการเงิน ผู้รับการวางแผนควรจะต้องบอกให้ผู้วางแผนทราบ เพื่อที่ผู้วางแผนจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ประกอบด้วยในการวางแผนการเงิน
เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด การบรรลุเป้าหมายในชีวิตต่างหากที่สำคัญกว่า แต่เนื่องจากสังคมเราเป็นสังคมที่ใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เราจึงต้องวางแผนโดยใช้เงินและตัวเลขเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผน ในบางกรณีท่านอาจจะสามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ โดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น บางท่านอาจจะมีเป้าหมายชีวิตที่จะแสวงหาธรรมะ ท่านก็อาจจะบวชเป็นพระหรือชี หรือนักบวชในศาสนาของท่าน หรือในบางกรณีท่านก็สามารถวางแผนการปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารของท่านได้เอง ท่านก็สามารถลดจำนวนเงินที่ต้องการใช้ในการดำรงชีพได้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น หากท่านคำนวณเงินออมเพื่อการเกษียณแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถเก็บให้ครบได้ ท่านอาจจะเริ่มมองหาที่ว่างข้างบ้านเพื่อเพาะปลูกผักและพืชสวนครัว หรือเริ่มปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้าน แทนที่จะออกไปรับประทานนอกบ้านทุกวันขอให้ท่านผู้อ่านทุกคนสามารถวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน ได้อย่างดี หรือได้ทำตามความฝันของท่านอย่างราบรื่น และขอให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตามควรแก่อัตภาพค่ะ


ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

สูตรออมง่าย...ทำได้ทุกเดือน


1.รายได้ – เงินออม = รายจ่ายทั้งหมด
รายได้ทุกอย่าง ก่อนจะนำไปใช้จ่ายต่างๆ ให้หักเป็นเงินออมอย่างน้อย 10% เสมอ

2.เปิดบัญชีธนาคารเพื่อเงินออมโดยไม่ทำบัตรเอทีเอ็มเมื่อไม่มีเอทีเอ็ม ก็จะทำให้เบิกเงินออกมาใช้ยากขึ้น

3.เลือกใช้บัญชีที่เงินเดือนเข้าและมีบัตรเอทีเอ็มเป็นเงินใช้จ่ายของทั้งเดือนจะทำให้เรารู้การใช้จ่ายต่อเดือน และหากเลือกให้หักค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบัตรต่างๆ ผ่านบัญชีธนาคารจะช่วยลดค่าเดินทางในการใช้จ่ายต่างๆ ไปได้เยอะทีเดียว

4.วางแผนการซื้อของก่อนไปจ่ายตลาดจดรายการที่ต้องการซื้อเท่าที่จำเป็น เพื่อจะไม่หลงซื้อตามคำจูงใจโฆษณา ณ จุดขาย

5.พยายามไม่ใช้บัตรเครดิตหรือซื้อสินค้าเงินผ่อนควรซื้อของด้วยเงินสด หากมีความจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวกก็ควรจ่ายเต็มจำนวนเงินที่ใช้ไปทุกครั้งที่มีการเรียกเก็บ เพื่อไม่ให้เสียดอกเบี้ย6.เลือกผ่อนชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยมากที่สุดก่อนหรือพยายามรวมหนี้ต่างๆ ให้เป็นหนี้เพียงก้อนเดียว

7.ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าลดราคาหากวางแผนซื้อสินค้าราคาแพงใดไว้ ก็ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ เพราะอาจได้ซื้อสินค้าโปรโมชั่นในราคาที่ถูกกว่าเดิม

8.เลือกบริโภคและอุปโภคสินค้าตามฤดูกาลราคาจะไม่แพงและได้ของสดใหม่เสมอ

9.ลดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ต้องจ่ายประจำใช้ไฟ น้ำ โทรศัพท์ เท่าที่จำเป็น เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองของครอบครัว

10.ประโยชน์จากเสื้อผ้าเก่าและของเหลือใช้ดัดแปลงเสื้อผ้าที่ล้าสมัยของเก่า และคัดแยกขยะรีไซเคิลก่อนทิ้งเพราะสามารถนำไปขายเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง

11.จัดสรรเวลาให้เป็นและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยและหากมีเวลาว่างมากพอ ควรหาความรู้หรือวิชาชีพเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มรายได้ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

12.ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงหลีกเลี่ยงอบายมุขลด ละ เลิก เหล้า บุหรี่ สิ่งเสพติดที่ไปบ่อนทำลายสุขภาพ และเลิกเล่นการพนันเสี่ยงโชคต่างๆกรุงเทพมหานคร ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ มาเป็นแนวทางในการบริหารเพื่อการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงโดยครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนกรุงเทพมหานครและอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง

15 วิธีรักษาเงิน รักษ์โลก


1. ปิดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อไม่ใช้งาน โดยถอดปลั๊กออกด้วย เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังคงใช้ไฟอยู่แม้จะกดปิดแล้ว

2. ควรใช้เครื่องปรับอากาศตามความจําเป็น พร้อมกับตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม (อุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 25 องศา) หรือในช่วงที่อากาศเย็น ลองปรับอุณหภูมิขึ้นสัก 1 - 2 องศา

3. ใช้หลอดประหยัดไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ

4. หากไม่มีความจําเป็นควรงดใช้เครื่องทําน้ำอุ่นขณะอาบน้ำ

5. ควรเลือกวิธีการเดินทางที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด เช่น การเดิน ขี่จักรยาน หรือใช้บริการรถขนส่งมวลชน แทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว ประหยัดทั้งเงิน พลังงาน และยังได้ออกกําลังกาย

6. ปรับเปลี่ยนนิสัยการขับรถเพื่อลดการใช้น้ำมัน เช่น ลดความเร็วในขณะขับรถ ตรวจเช็กลมยางก่อนออกเดินทาง และหมั่นรักษาระดับลมยางให้เหมาะสม

7. พยายามบริโภคอาหารที่ผลิตและปลูกในท้องถิ่น เพราะนอกจากมีราคาถูกแล้ว ยังช่วยลดการใช้น้ำมันของยานพาหนะที่ใช้ขนส่ง

8. ลดจํานวนชั่วโมงการดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ แล้วหันไปทํากิจกรรมสร้างสรรค์ง่ายๆ ในครอบครัว เช่น นําเศษวัสดุเหลือใช้ประดิษฐ์เป็นของเล่น ประหยัดทั้งค่าไฟ และค่าของเล่น แถมยังได้ใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว

9. คิดให้รอบคอบก่อนซื้อ เลือกสินค้าที่มีอายุการใช้งานนาน และควรใช้อย่างคุ้มค่า บางชิ้นสามารถนํากลับมาซ่อมแซมแล้วนํากลับมาใช้ใหม่ได้

10. เลี่ยงซื้อสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์สิ้นเปลือง และลดการใช้ถุงพลาสติก โดยนําถุงติดมือไปด้วย หรือสิ้นค้าบางชิ้นใส่ถุงใบเดียวกันได้

11. ใช้กระดาษทั้งสองหน้า คิดก่อนสั่งพิมพ์งาน นํากระดาษที่ไม่ใช้แล้วมาทําเป็นสิ่งประดิษฐ์ง่ายๆ ร่วมกับลูก ช่วยลดขยะและประหยัดเงิน

12. พยายามใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนกระดาษทิชชู

13. ใช้น้ำอย่างประหยัด เช่น ปิดน้ำขณะแปรงฟันและถูตัว ไม่เปิดน้ำแรงเกินไปขณะอาบน้ำ หรือล้างมือ เป็นต้น

14. เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ซับซ้อน เช่น กินข้าวสวยหรือข้าวต้ม กินผลไม้สด และหลีกเลี่ยงอาหารกระป๋อง เป็นต้น
15. เมื่อเริ่มลงมือทําข้อใดข้อหนึ่งแล้วอย่าลืมบอกต่อไปยังเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้จัก

แนวคิดวิธีใช้เงินคนรวย

ขอเอาวิถีชีวิตของคนที่ได้ชื่อว่ามีเงินมากมายจนไม่รู้จะเอาไปไว้ไหน มาฝากกัน และเพื่อแสดงให้เห็นด้วยว่าคนที่เค้าลงทุนจนร่ำรวยนั้น มักเก็บเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ผู้อื่นมากกว่าหาความสุขให้กับตัวเอง




บิลเกตต์...
เคยเข้าประชุมสายเพียงเพราะว่า เค้าวนหาที่จอดอยู่นานมากเนื่องจากที่จอดแถวนั้นเค้ารู้สึกว่าแพง!@!!




จอรจ โซรอส...
นั่งรถแท็กซี่ไปทำงาน เค้าให้เหตุผลว่า ผมทำรายได้จากเงินลงทุนได้ประมาณ 36%ต่อปี ถ้าผมซื้อรถถ1คันราคา 1 ล้าน ใช้ไปได้สิบปี แล้วขายเป็ฯเศษเหล็ก รถคันนี้ไม่ได้มีมูลค่า1 ล้าน แต่เป็น 32 ล้านเทียบกับว่าเอาไปลงทุน คิดอย่างนี้แล้วผมก้อเลยซื้อไม่ลง

ทพ.ยรรยง หรือ หมอยง...
ผู้มีทรัพย์สินเป็นเงินสดและหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท -"วิถีชีวิตของผมง่ายๆ เรียบๆ แต่งตัวธรรมดาๆไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนม ชอบใส่รองเท้าแตะนาฟิกาก็ใส่ไซโก้เรือนละแปดพัน ไม่เคยใส่โรเลกซ์(ปลอมแบบไอ้จอ) ราคาเหยียบแสนเลย ผมว่าคุณค่าผมมีมากกว่าสิ่งของเหล่านั้นเยอะ คนที่เค้าจะชื่นชมผมก้อควรชื่นชมความรู้ความสามารถและนิสัยมากกว่าสิ่งภายนอกเหล่านั้น รถก็ขับวอลโว่850 เก่าๆขับมาแปดปีแล้ว เอาแค่พอขับได้ก็พอ ไม่ต้องแพงเว่อ วันหยุดเสาร์อาทิตย์มักจะไปดูหนัง เดินเล่นห้าง แค่นั้น หรือไม่ก็เข้าป่า..ผมชอบเที่ยวป่าแบบbackpack เมืองนอกไม่ชอบเที่ยว ไปไกลสุดก็สิงคโปร์


ดร.นิเวศน์ ...
ผู้มีพอรตหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน ....ผมชอบเดินจ่ายตลาดเองวันเสาร์เย็นๆกะครอบครัว รถถ้าไม่ได้อยู่ในหน้าที่การงานผู้บริหารก็คงจะไปใช้รถญี่ปุ่นแล้ว พวกนี้เป็นเศษเหล็กยิ่งเวลาผ่านไปราคายิ่งตกลง....เที่ยวเมืองนอกก้อใช้ economic class ตลอด

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง...
เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ชายคนนี้บอก กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดที่จอดอยู่หน้าธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้า หน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ต่างก็ขบขันชายชาวอินเดียที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท มาค้ำประกันเงินกู้ เพียงแค่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของธนาคาร


สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน 170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า "ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงินในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วย ล่ะครับ" ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า "ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์ ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย"


ที่มา : http://atcloud.com

ออมเงินไว้ในหุ้นได้



ข้อแนะนำของนักการเงินที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของคนทั่วไปมากที่สุดเห็นจะได้แก่ ข้อแนะนำที่บอกว่า วิธีออมเงินเพื่อวัยเกษียณที่ดีที่สุด คือ การออมไว้ในตลาดหุ้น แต่คนทั่วไปมักมีความรู้สึกว่า ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง เงินสำหรับไว้ใช้จ่ายในยามแก่เฒ่า น่าจะเก็บไว้ในที่ซึ่งปลอดภัย อาทิเช่น เงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ มากกว่า

สาเหตุที่นักการเงินแนะนำเช่นนี้ เป็นเพราะแม้ว่าหุ้นจะมีความเสี่ยงมากกว่าเงินฝาก หรือตราสารหนี้มาก อาทิเช่น ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี หุ้นอาจทำให้คุณขาดทุนได้มากถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นอีก ในขณะที่ตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน อาทิเช่น 3-5 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น แต่ก็เพราะหุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่านี่แหละที่ทำให้ในระยะยาวแล้ว หุ้นจะต้องให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เพราะชดเชยความเสี่ยงที่สูงกว่านั่นเอง การออมเงินเพื่อเกษียณเป็นการออมที่มีระยะเวลาออมที่นานมาก ดังนั้น มันจึงเหมาะกับการออมไว้ในหุ้นมากที่สุด และจากการประเมินพบว่า การออมเงินไว้ในหุ้นนั้น ยิ่งมีระยะเวลาออมนานเท่าไร ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะยิ่งมีความผันผวนน้อยลง และมีค่าเป็นบวกด้วย ที่สำคัญมันสูงกว่าการออมไว้ในหลักทรัพย์ชนิดอื่นๆ ทั้งหมดแบบเทียบกันไม่ได้ แต่คำว่าระยะยาวที่ว่านี้ จะต้องมีระยะเวลายาวนานเกิน 15 ปีขึ้นไป

มีหลายคนระแวงสงสัยว่า การออมเงินไว้เฉยๆ ในตลาดหุ้นนานๆ จะดีจริงหรือ หลายคนมีความเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยถือยาวไม่ได้ เพราะอย่างเมื่อปีที่แล้ว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่แถวๆ 900 จุด ก็เพิ่งจะร่วงลงมาอย่างแรงจนเหลือเพียงแค่ 380 จุดเท่านั้น แล้วอย่างนี้การออมเงินเกษียณด้วยการซื้อหุ้นทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่มีการขายออกมาเลยจนกว่าจะใกล้เกษียณ จะเป็นวิธีการที่ดีจริงหรือ เกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถแสดงให้เห็นว่า การออมเงินไว้ในตลาดหุ้นไทยเป็นเวลานานมากๆ โดยไม่มีการซื้อๆ ขายๆ ระหว่างทาง สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้จริงๆ เพราะมีกองทุนรวมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า กองทุนรวมหุ้นที่เลียนแบบดัชนี (Index Fund) อยู่ กองทุนประเภทนี้มีนโยบายการลงทุนง่ายๆ ด้วยการกระจายเงินลงทุนทั้งหมดไว้ในหุ้นทุกตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีหุ้น เพื่อให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปลี่ยนแปลงไปตามดัชนีตลาดหุ้นที่เปลี่ยนไปด้วย เช่น กองทุนรวมทหารไทย SET50 ของ บลจ. ทหารไทย ลงทุนในหุ้น 50 ตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี SET50 กองทุนนี้จัดตั้งขึ้นมานานแล้วพอสมควร คือ ตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งสามารถทำการศึกษาจากผลการดำเนินงานของกองทุนนี้ได้ ปรากฏว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนนี้เมื่อเร็วๆ นี้เป็นดังนี้

ช่วงเดือนเมษายน 2552 เป็นช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยกำลังย่ำแย่เต็มที่เพราะปัญหาซับไพร์ม จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีของกองทุนนี้ ติดลบมากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็พอๆ กับความเลวร้ายของตลาดหุ้นไทยในเวลานั้นเลยทีเดียว หรือถ้าคิดให้เป็นผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี ผลตอบแทนก็ยังคงแย่อยู่ดี เพราะยังติดลบมากถึง 31 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหากดูผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนเลย คือ เมื่อ 8 ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันนี้ จะพบว่ากองทุนยังให้ผลตอบแทนที่สูงถึง 123.68 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว ซึ่งสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้รูปแบบอื่นใดในช่วงเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งที่ทำการวัดผลหลังจากที่เพิ่งเจอวิกฤตไปหมาดๆ ดังนั้น ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะเป็นตลาดที่มีความผันผวนมาก แต่ถ้าระยะเวลาที่ออมเป็นช่วงเวลาที่ยาวมากจริงๆ การออมไว้ในหุ้นจึงยังคงเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดอยู่ดี

เคล็ดลับที่สำคัญของการออมเงินเกษียณไว้ในหุ้น คือ ต้องเป็นการออมแบบซื้อสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ใช่การซื้อๆ ขายๆ เพื่อทำกำไรส่วนต่างไปตลอดทาง ซึ่งอาจจะคิดว่าการซื้อๆ ขายๆ ไปด้วย จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นอีก แต่ที่จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ขาดทุนจากหุ้นก็เพราะการซื้อๆ ขายๆ บ่อยๆ ดังนั้น ในระยะยาวมากๆ ผลตอบแทนของหุ้นจะวิ่งเข้าหาอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทที่ได้ทำการลงทุนไปเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าทำการซื้อๆ ขายๆ ระหว่างทางเพื่อหวังทำกำไรระยะสั้น อาจก่อให้เกิดการซื้อขายผิดจังหวะ ทำให้ผลตอบแทนมีความไม่แน่นอน อาทิเช่น พอดัชนีหุ้นหล่นจาก 900 จุด มาเหลือแค่ 700 จุด ไม่ยอมขาย แต่พอร่วงลงต่อไปอีกจนเหลือเพียงแค่ 380 จุด คราวนี้กลับเทขายออกมา เพราะกลัวว่ามันจะลงต่อไปอีกเหลือแค่ 200 จุด พอขายเสร็จ ตลาดหุ้นก็ขึ้นพอดี จากที่ขาดทุนแค่ชั่วคราว ก็เลยกลายเป็นขาดทุนถาวรไป เป็นต้น

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งของการออมเงินเกษียณไว้ในหุ้น คือ พอร์ตที่ลงทุนจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงที่มากพอด้วย เพราะถ้าหากออมเงินได้นานจริง แต่ลงทุนไว้ในหุ้นแค่ตัวเดียว แล้วบังเอิญหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการที่ล้มเหลวในระยะยาว เงินลงทุนก็คงหายไปหมด ที่จริงแล้ววิธีที่ดีที่สุดในการออมเงินเพื่อเกษียณ คือ การออมด้วยการซื้อกองทุนรวมที่เลียนแบบดัชนี เพราะตราบใดที่ประเทศไทยยังอยู่ โอกาสที่หุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีตลาดหุ้นไทยจะล้มลงไปพร้อมๆ กันนั้น แทบจะไม่มีเลย นอกจากนี้ ยังต้องมีเวลาเหลือที่จะออมก่อนถึงวัยเกษียณไม่ต่ำกว่า 15 ปีด้วย ถึงจะสามารถออมไว้ในหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าการออมเงินในประเภทต่างๆ นั่นเอง
โดยนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ธนาคารทางอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแค่ไหน


ปลอดภัยมาก ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่ที่จริง ธนาคารทางอินเทอร์เน็ตปลอดภัยกว่าการรับส่งอีเมล์ซึ่งเป็นช่องทางหลักสำหรับการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวเสียอีก สำคัญที่สุดคือคุณต้องแน่ใจว่าธนาคารรับประกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น นั่นคือ ธนาคารจะรับผิดชอบต่ออาชญากรรมออนไลน์ที่อาจเกิดกับบัญชีของคุณหากคุณปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐานแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ของคุณใช้ระบบ Firewall (สำหรับ Windows XP อยู่ที่ Windows Security Center ใน Control Panel สำหรับ Vista คลิก Security ใน Control Panel ส่วนเครื่อง Mac อยู่ที่ Sharing ใน System Preferences)

ข้อแนะนำเพื่อการทำธุรกรรมที่ปลอดภัย

- ใช้โปรแกรมท่องอินเทอร์เน็ตที่ทันสมัย ได้แก่ Fire-fox 2, Safari 3 หรือ Inter-net Explorer 6 หรือ 7

- ตั้งเครื่องให้หาโปรแกรมรุ่นล่าสุดโดยอัตโนมัติ สำหรับ Windows XP และ Vista เลือก Automatic Update ได้ที่ System ใน Control Panel สำหรับเครื่อง Mac ตั้ง Software Update ใน System Preferences

- อย่าใช้รหัสผ่านรหัสเดียวกันทุกบัญชีและเว็บไซต์ รหัสผ่านที่ประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์ปกป้องข้อมูลทางบัญชีของคุณได้ดีที่สุด
ลงโปรแกรมป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ให้ติดไวรัส (ซึ่งอาจทำลายแฟ้มข้อมูลของคุณ) และสปายแวร์ (ที่อาจแอบส่งข้อมูลของคุณให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น) โปรแกรมที่ใช้งานง่ายคือ Norton Internet Security 2008 ของ Symantec, Internet Security 7.0 ของ Kaspersky และ Internet Security Suite ของ McAfee