วิธีช่วยสาวประหยัดเงิน เก็บเครื่องสำอางใช้ได้นาน


ช่วยสาวประหยัดเงิน เก็บเครื่องสำอางดีใช้ได้นา

ข้อมูลน่าสนใจใกล้ตัวคุณผู้หญิง เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับความสวยความงามและผลิตภัณฑ์ช่วยประทินโฉม ที่ผู้หญิงทั่วไปต้องใช้เป็นประจำทุกวัน โดย เคธี คอนนอลลี่ คอมลัมนิสต์ นิวส์วีค นิตยสารชั้นนำของสหรัฐ

เนื้อหาของคอนนอลลี่ใช้ชื่อเรื่องว่า "8 วิธีช่วยสาวมั่นใจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสะอาดใช้ได้ดี" เป็นการรวบรวมวิธีช่วยสาวไทยทั้งในและต่างประเทศ ไม่ต้องเผชิญกับผลเสียที่ตามมา จากการใช้หรือเก็บรักษาเครื่องสำอางกับผลิตภัณฑ์ประทินโฉมไม่ดี จนใช้ได้ไม่คุ้มและใช้ได้ไม่นานกับเม็ดเงินที่ต้องจ่ายไป และต้องเสียเงินซื้อหาของใหม่มาใช้แทน

@"ไม่ใช้ร่วมหรือแบ่งใช้"

เป็นหนทางเข้มงวดและกฎเหล็กข้อแรกว่า การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ประทินโฉมร่วมกับคนอื่น แม้จะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือเป็นลูกค้าสนใจรายอื่นที่ร่วมใช้สินค้าทดลองก็ตาม เพราะการใช้ของร่วมกันเป็นหนทางง่ายที่สุดหนทางหนึ่ง ที่จะทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจาย

สาวใดที่ไม่สนใจคำแนะนำหรือคำเตือนข้อนี้ ระวังเถอะว่าคุณอาจติดโรคจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคที่คนไทยรู้จักกันว่า "สังคัง" ซึ่งนำไปสู่อาการระคายเคือง เจ็บและอักเสบของผิวหนัง กลายเป็นผิวที่ไม่น่ามอง และอาการเกิดขึ้นง่ายบริเวณริมฝีปาก หากใช้ลิปสติกเสื่อมคุณภาพหรือใช้ร่วมกันกับคนอื่นๆ ที่อาจมีเชื้อไวรัสก่อโรคซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

การใช้ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางร่วมกัน ยังเพิ่มโอกาสกับความเสี่ยง ที่สาวๆ จะเกิดโรคริมฝีปากอักเสบ ควบคู่ไปกับโรคผิวหนังรอบปากอักเสบด้วย ผลิตภัณฑ์ใช้กับดวงตาและรอบดวงตา เป็นอีกส่วนพึงระวัง การใช้มาสคาร่าหรือผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาร่วมกับคนอื่น อาจทำให้เกิดโรคเยื่อตาขาวอักเสบ หรือโรคตาแดง และขั้นร้ายสุดคือมีไรเกาะขนตา

หากสาวใดต้องการลองใช้เครื่องสำอางตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป ขอให้แน่ใจเสียก่อนว่า ต้องเป็นสินค้าทดลองใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง หรือหากต้องใช้อุปกรณ์กับผลิตภัณฑ์ร่วมกับคนอื่น ลองขอให้พนักงานช่วยทำความสะอาด หรือใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคให้ดี ก่อนจะนำมาใช้จริงบนใบหน้าตนเอง

@"ทิ้งเครื่องสำอางเก่าไม่ใช้แล้ว"

สาวไหนที่มีผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางเก่า หรือผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางใช้ไปแค่ครึ่งเดียวแต่ทิ้งไว้นานแล้ว อย่าคิดเสียดายให้ทิ้งทันที เพราะอายุผลิตภัณฑ์ยิ่งนาน สารที่ใช้ป้องกันการเสื่อมสภาพก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลง

ตามปกติแล้วผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอาง ควรเก็บไว้ในสถานที่เย็น ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่ไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานเปลี่ยนแปลงไป ดร.บาวเวอร์สเตือนว่าการเก็บรักษาปล่อยเครื่องสำอางทิ้งไว้ในรถยนต์โดยเฉพาะในฤดูร้อน อาจเป็นสาเหตุทำให้ผลิตภัณฑ์เสื่อมคุณภาพได้เร็วขึ้น

@"หมั่นเปลี่ยนอุปกรณ์ใช้ทาผิว"

ขอให้จดจำไว้เสมอต้องขยันเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้หรือเกี่ยวข้องกับดวงตาบ่อยครั้ง และยิ่งถ้าตามีอาการแย่หรือติดเชื้ออยู่ขอให้หยุดใช้ก่อน และให้สงสัยก่อนเลยว่า อุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวข้องกับดวงตาอาจมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ และมีโอกาสที่จะติดเชื้อที่ดวงตาจากความไม่รู้ของตนเองได้

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลกับคอนนอลลี่ ช่วยเตือนสาวๆ ว่าควรใช้อุปกรณ์แบบทาอย่างก้านสำลี แปรงปัดหรือฟองน้ำ แทนที่จะใช้นิ้วมือ เพื่อสดความเสี่ยงทำให้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางปนเปื้อนเชื้อโรคที่มาจากเชื้อแบคทีเรียตามผิวหนัง ซึ่ง ดร.บาวเวอร์สแนะนำให้ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนฟองน้ำสัปดาห์ละครั้ง

"ทุกๆ ครั้งที่สาวๆ ใช้ฟองน้ำ จะทำให้เซลล์ผิวหนังตายแล้วติดอยู่ และกลายเป็นแหล่งทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโต ด้วยเหตุนี้ทำให้สาวๆ กลายเป็นสาวใบหน้าเต็มไปด้วยสิวได้ ดังนั้นควรขยันล้างทำความสะอาดแปรงปัดแก้มเดือนละครั้ง ทำความสะอาดขจัดความมันกับแบคทีเรียออกจากแปรง และใช้สบู่อ่อนหรือแชมพูเด็กทำความสะอาด"

@"ไม่ใช้น้ำหรือน้ำลายกับอุปกรณ์"

ผู้หญิงหลายคนชอบอาศัยน้ำลาย ทำให้อุปกรณ์เสริมสวยเปียกก่อนใช้กับผลิตภัณฑ์และเครื่องสำอาง ซึ่งวิธีนี้ไม่น่าจะส่งผลเสียหรืออันตรายได้ แต่คอนนอลลี่ได้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมาเตือนสาวๆ ว่า อย่าคิดทำและต้องไม่ทำเช่นนี้

เพราะภายในปากคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรียนานาชนิด ซึ่งไม่เป็นอันตรายหรือส่งผลเสียต่อปาก แต่แบคทีเรียเหล่านี้กลับไม่ดีต่อดวงตาของคนเรา ยิ่งใช้น้ำแทนน้ำลายก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น ในเมื่อน้ำสามารถทำให้สารใช้กันเสียของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางนั้นๆ เสื่อมคุณภาพลงได้ และเป็นตัวนำเชื้อโรคหรือจุลชีพให้เติบโตอาศัยอยู่ในเครื่องสำอางได้ จนกลายเป็นสาเหตุของการอักเสบติดเชื้อผิวหนัง

@ “อย่าใช้ในรถยนต์”

เวลาที่ผู้หญิงทั่วไปขับรถไปด้วย และแต่งหน้าในรถยนต์ ทำให้เขาค่อนข้างกังวลใจ ด้วยความคิดอยากเตือนให้ระวังดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะเปราะบาง และรักษาดูแลไม่ได้ง่ายๆ ความประมาทเลินเล่ออาจทำให้สาวเผลอใช้แปรงปัดตาถูกกระจกหรือนัยน์ตาเป็นแผลถลอก

ในกรณีข้างต้นดวงตาจึงอ่อนไหวต่อการติดเชื้อขั้นรุนแรง รวมถึงการติดเชื้อแบคทีเรียสเตฟฟีโลคอกคัส ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายแบบถาวร หรืออาจทำให้ตาบอดได้ ไบลีย์เห็นด้วยว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นได้ยาก แต่ที่ผ่านมาอันตรายในลักษณะนี้เคยมีหรือปรากฏมาแล้ว

@"ปิดฝาผลิตภัณฑ์ให้แน่น"

ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางส่วนใหญ่มีส่วนผสมของสารกันเสีย ที่ช่วยขจัดแบคทีเรียและช่วยยืดอายุการใช้งาน แต่ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นเปิดทิ้งรับสภาพอากาศภายนอก ผลิตภัณฑ์จะเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคประเภทจุลชีพ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของสารกันเสียลดลง

การเปิดฝาบรรจุผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอาง ยังเสี่ยงต่อการเปิดรับแบคทีเรีย ซึ่งสารกันเสียที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นไม่สามารถขจัดหรือป้องกันได้ ยิ่งฝาปิดของผลิตภัณฑ์นั้นเปิดไว้นานเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้มีเชื้อโรคมากมายหลายชนิดสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ได้มากเท่านั้น ดังนั้นไบลีย์ย้ำว่าสาวต้องไม่ลืมที่จะปิดฝาบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ ให้แน่น

@"ระวังเมื่อผิวแพ้ง่ายเป็นพิเศษ"

ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางนั้นๆ ใช้ส่วนผสมเป็นธรรมชาติปราศจากสารเคมี และดีเหมาะกับสภาพผิวของสาวๆ ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจดีสำหรับสาวที่ไม่ชอบใช้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางที่มีสารเคมีมากเกินไป แต่ผลเสียจากข้อดีนี้มีอยู่

"สาวๆ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหมาะสมกับผู้หญิงที่มีผิวแพ้ง่าย บางครั้งคิดว่าตนเองปลอดภัยกว่าสาวๆ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางทั่วไป แต่ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย ไม่ได้ใส่สารขจัดหรือป้องกันเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งใส่เอาไว้ในผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทั่วไปใช้กัน"

@"ชำระล้างผิวสะอาดที่สุดก่อนนอน"

ก่อนที่สาวๆ จะเข้านอน อย่าขี้เกียจหรือละเลยทำความสะอาดผิวหนัง โดยเฉพาะใบหน้าและขนตาให้สะอาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งความสะอาดเหมือนกับช่วยให้อวัยวะของตัวเองได้พักผ่อนเต็มที่ด้วย

หากสาวๆ ปล่อยให้มาสคาร่าติดขนตาตลอดคืน มาสคาร่าอาจแห้งและแตกเข้าตา จนกลายเป็นสาเหตุให้เกิดโรคคันที่ผิวหนังรอบดวงตาและเกิดอาการตาแดงได้ ดังนั้นการเช็ดทำความสะอาดใบหน้าและส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ใช้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางให้หมดจดก่อนนอน ต้องทำเป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย

ที่มา : BangkokBizNews



กูรูเทศแนะวิธีฉลาดช้อป


เมื่อรู้แนวทางช่วยเพิ่มเงินออมของสมิธจากเว็บไซต์ฟิเดลิตี้กันแล้ว มาถึงส่วนผสมที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของยา ที่จะใช้เป็นวัคซีนป้องกันวิกฤติเงิน คือการประหยัดเงินเมื่อคิดจับจ่ายซื้อของกินของใช้เข้าบ้าน ในหัวเรื่อง "แนะวิธีฉลาดช้อป" ของ แมรี่ ดัลรีมเพิล คอลัมนิสต์จากเว็บไซต์ ฟูล ดอท คอม มานำเสนอ

1.จ่ายน้อยกว่าเงินที่หามาได้

ไอเดียแรกนี้เจ้าของเงินต้องคิดต้องทำ ก่อนควักเงินจากกระเป๋าซื้อของ ข้อนี้ชัดเจนถือเป็นกฎจำเป็นต้องทำ ต้องท่องไว้ในใจเสมอว่า ไม่มีใครเคยใช้จ่ายเกินรายได้แล้ว จะสามารถไปถึงเป้าหมายความมั่นคงทางการเงินได้

2.ซื้อแต่สิ่งสำคัญจำเป็น

ขอให้ลืมสิ่งของนอกรายการที่อยากได้ไปเลย หากเจ้าของเงินซื้อหาของใช้จำเป็น รองรับความต้องการในการดำรงชีพขั้นพื้นฐานได้ครอบคลุมแล้ว เงินที่เหลือสามารถนำไปใช้อย่างรอบคอบในกิจกรรมอื่นการใช้เงินที่เหลืออย่างรอบคอบ หมายถึงเจ้าของเงินมีความสุขกับการจ่ายเงินซื้อของที่มีประโยชน์และมีคุณค่ากับครอบครัวอย่างแท้จริง และไม่ละทิ้งจุดยืนของตัวเอง แม้เพื่อนบ้านคิดว่าคุณกำลังตระหนี่ถี่เหนียว ด้วยการซื้อของตกรุ่นไม่ทันสมัย

3.ไม่ซื้อเกินจำเป็น

การซื้อหาโดยไม่ทำให้เจ้าของเงิน ต้องควักเงินเกินจำเป็นและเกินงบที่ตั้งไว้ คือการลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะสมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องกินต้องใช้ขอให้คุณจดรายการของไม่จำเป็นไว้ด้านหลัง แต่กำหนดสิ่งจำเป็นไว้หน้าแรก ทำเช่นนี้จะช่วยเจ้าของเงินแยกแยะของใช้ไม่จำเป็นได้ชัดเจน และเกิดความอยากได้สิ่งของไม่สำคัญหรือจำเป็นน้อยลง

4.คำนึงคุณภาพ-อายุใช้งาน

การซื้อต้องได้สินค้าดีที่สุด หมายถึงมีอายุการใช้งานนานที่สุด ให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป เจ้าของเงินต้องหาข้อมูลและมีเหตุผลที่ดี ยิ่งซื้อของชิ้นใหญ่ต้องวางแผนกันนานหน่อย และขอย้ำว่าของที่จะซื้อต้องเน้นคุณภาพและอายุใช้งาน

5.เลิกยึดติดยี่ห้อ

อาจยากที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยใช้ของดีมียี่ห้อ ดัลรีมเพิลขอให้ผู้บริโภคคนไทย ลองเลือกใช้สินค้าอีกยี่ห้อหนึ่งที่มีราคาถูกกว่า หรือสินค้าทางเลือกอื่นๆ ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน แม้ไม่มียี่ห้อดังการันตีบ้างบางโอกาส ถือเป็นการลองใช้สินค้าที่มีคุณภาพเหมือนๆ กัน เพื่อจะได้จ่ายน้อยลง

6.ใจเย็นซื้อ

การซื้อแบบรีบร้อนฉุกละหุก โดยเฉพาะสิ่งของที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ อาจทำให้ผู้ซื้อรู้สึกผิดหวังได้ ก่อนตัดสินใจซื้อ ขอให้คิดนานใจเย็นอีกสักหน่อย จะช่วยเจ้าของเงินประหยัดได้มาก หรืออย่างน้อยเจ้าของเงินยังมีเวลา สามารถประเมินหรือบริหารงบได้ดีขึ้น

7.ชั่งใจอยากซื้อหรือไม่

ไอเดียสุดท้ายนี้ ดัลรีมเพิลแนะให้วัดใจตัวเองก่อน รอสัก 2-3 วัน หรือ สักสัปดาห์หนึ่งค่อยกลับมาดูสิ่งของที่จะซื้อใหม่อีกครั้งหากคิดว่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดสิ่งของที่หมายตาอยากได้ แสดงว่าสิ่งของชิ้นนั้นสำคัญควรค่าแก่การซื้อ แต่หากผู้บริโภคลืมทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งของชิ้นนี้ หมายความว่าสิ่งของกลับไม่มีค่าหรือจูงใจให้ซื้ออีก

----------------

กลวิธี ช้อปประหยัด

1.เล็งสินค้ารุ่นเก่าคงค้าง

เมื่อมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ห้างสรรพสินค้าและร้านทั่วไปจะนำสินค้ารุ่นเก่ายังไม่หมดอายุแต่อาจตกรุ่นมาลดราคา แบบซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อ 8 ชิ้นในราคาเพียง 1 ชิ้น ผู้บริโภคจึงต้องตามดูรายการโปรโมชั่นสินค้าให้ดีการซื้อของแบบซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อ 8 ขวด 8 ถุงจ่ายในราคา 1 ขวด 1 ถุง เมื่อมีโอกาสควรซื้อไว้เลย เพราะผู้จำหน่ายต้องการกระจายสินค้าล็อตเก่าให้หมด ก่อนจะนำสินค้าปรับรสชาติใหม่เข้ามาแทน

2.หมั่นสำรวจสินค้าห้าง

ถ้าคิดจะประหยัดซื้อของกินของใช้เข้าบ้าน หวังราคาถูกสุดนั้น ต้องใช้เวลาเปรียบเทียบราคาก่อน เช่น การซื้อชีสสักยี่ห้อหนึ่ง ปกติแล้วจะซื้อจากเคาน์เตอร์ขายในห้างใดก็ได้ เพราะเป็นชีสยี่ห้อเดียวกัน แต่ว่าแต่ละเคาน์เตอร์ของแต่ละห้างและแต่ละร้าน ราคาเคาน์เตอร์ห้างหนึ่งอาจถูกกว่าอีกห้างหนึ่ง

3.ลองใช้แบรนด์ห้าง

ยี่ห้อที่ห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ใช้นั้น ผลิตจากผู้ผลิตกลุ่มเดียวกันกับที่ผลิตให้บริษัทชื่อดัง ซึ่งปกติผู้บริโภคชื่นชอบและนิยมซื้อ เพียงแต่มีความแตกต่างกันเรื่องของราคา อย่างบร็อคโคลีหั่นสำเร็จรูปแช่แข็งหนัก 14 ออนซ์ เมื่อนำมาติดยี่ห้อของห้างที่จำหน่าย ราคาจะลดถูกลงถึง 44% เมื่อเทียบกับแบรนด์ดัง

4.ซื้อสินค้ารุ่นเก่าไม่หมดอายุ

เมื่อใดห้างลดราคาสินค้า สินค้าลดราคาอาจไม่ใช่สินค้าไม่ดีหรือไม่ปลอดภัยไม่ควรบริโภค แต่สินค้ากลุ่มนี้อาจเป็นล็อตเก่า และไม่ต้องการขายความสดใหม่หรืออาจมีตำหนิภายนอก ที่ไม่มีผลต่อคุณภาพสินค้าภายในบรรจุภัณฑ์

5.ขยันหา-ใช้คูปองส่วนสด

ด้วยคูปองที่ตัดมาได้จากหนังสือพิมพ์ทั่วไป หรือลงโฆษณาตามนิตยสาร รวมถึงบัตรลดกับรายการส่งเสริมการขายวันธรรมดา ทำให้ผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อยแหล่งซื้อไม่ได้อยู่ตามห้างเท่านั้น เพราะร้านขายยาบางแห่งขายนมในราคาถูกกว่า และการซื้อผ่านออนไลน์ได้ส่วนลดอย่าง Amazon.com ที่ไม่คิดค่าส่งแถมให้ส่วนลดเพิ่ม หากสั่งซื้อในจำนวนหรือปริมาณมาก

กูรูเทศชี้ช่องกลยุทธ์เพิ่มเงินออม


ขอนำไอเดียน่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญการเงินต่างชาติ 2 คนจาก 2 ค่าย มาแนะนำคนไทยทั่วไป ที่อยากได้วัคซีนคุ้มกันวิกฤติเงินแบบครบชุด คือการออมเงินได้เพิ่มขึ้น และความสามารถที่จะช้อปได้ประหยัด ช่วยให้มีเงินเหลือเก็บได้มากขึ้น
ในมุมมองของ จูลี สมิธ ผู้เชี่ยวชาญการเงินคอลัมนิสต์คนสำคัญจาก เว็บไซต์ฟิเดลิตี้ ถือว่าสำคัญสำหรับทุกคนในยุคที่เศรษฐกิจโลกตอนนี้ ยังเจ็บป่วยไม่สร่างจากพิษไข้ และอยู่ในอาการถดถอย ท่ามกลางภาวะแวดล้อมที่มีแต่ความไม่แน่นอนสมิธตั้งหัวข้อเรื่องเพื่อนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับการออมไว้ว่า "ตรงไหนบ้างช่วยคุณออมเพิ่ม" ด้วยการพยายามค้นหาทุกซอกมุมการเงินในชีวิตประจำวันของคนเรา และเน้นว่าทุกคนทำได้ในทุกช่วงทุกวัยของชีวิต

1.ออมเพื่อเกษียณสำคัญสุด

สมิธเชื่อว่าการเงินครอบครัวจะสมบูรณ์แบบ ต้องมีกันชนลดผลกระทบสิ่งเลวร้ายซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ด้วยการออมเพื่อการเกษียณไว้แต่เนิ่นๆ ซึ่งเป็นการออมที่สมิธให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกลักษณะการออมเพื่อการเกษียณนั้น อาจเป็นทั้งการออมตั้งแต่เริ่มทำงานได้เงินเดือนครั้งแรกในชีวิต หรือเริ่มออมไว้ตั้งแต่อยู่ในวัยเลข 2 นำหน้าแต่หากวัยของคุณเลยเลข 2 ไปแล้ว อาจนำหน้าด้วยเลข 3 หรือ 4 สมิธแนะว่าขออย่าได้ตกอกตกใจ เพราะเอาแต่คิดว่าสูงวัยเกินไปแล้ว หรือแก่เกินไปที่จะออม และแม้ว่าจะเริ่มออมช้าไปหน่อย แต่ประโยคที่ว่า "ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะออม" สมิธเห็นว่า ยังใช้ได้อยู่เสมอสำหรับทุกคนที่คิดอยากจะออม

2.รีบสมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ไอเดียของสมิธข้อนี้ เป็นการขยายข้อมูลจากคำแนะนำในข้อแรก ที่กระตุ้นให้มนุษย์ทำงานอย่าพลาดกับการสมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเพราะการสมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากจะเป็นการออมเงินให้ตัวเองแล้ว เงื่อนไขการออมประเภทนี้ยังเหมือนบริษัททยอยให้โบนัสเป็นเงินก้อนเล็กก้อนน้อยเท่าๆ กันทุกเดือนแก่พนักงาน ด้วยการที่บริษัทสมทบเงินออมส่วนนี้ให้กับพนักงานอีกส่วนหนึ่งด้วยอีกทั้งการตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยังได้ประโยชน์และสิทธิยกเว้นทางภาษี พร้อมกับผลตอบแทนที่ได้แบบทวีคูณ ดังนั้นขอให้คนไทยที่ยังอยู่ในวัยทำงาน รีบสมัครรีบออมให้เร็วที่สุดและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะเป็นการเพิ่มโอกาสและเพิ่มเงินออมเพื่อการเกษียณให้ตัวเอได้

แต่การกู้เงินมาใช้ซื้อบ้านใหม่ รถคันใหม่ หรือเป็นทุนการศึกษาชั้นสูงให้กับลูกกับหลาน ทั้งหมดหมายถึงคุณกำลังกู้ยืมเงินอนาคตของตัวเองมาใช้ และเป็นการกดดันตัวเองให้ยากลำบากมากขึ้น ที่จะค้นหาช่องออมเงินเพื่อการเกษียณ และเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระคนอื่นในครอบครัวในอนาคตสมิธ เชื่อว่าทางเลือกดีที่สุด และทุกคนทำได้ง่ายที่สุด คือการสมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อย่างน้อยได้ทั้งเงินออมและเงินฟรีจากการสมทบของบริษัท และให้หางานทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยผลักดันแผนการออมส่วนบุคคลไปให้ถึงฝั่งฝัน ให้ได้เงินออมเพื่อการเกษียณเพิ่มขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

3.เร่งลดหนี้บัตรเครดิต

คำเตือนของสมิธข้อนี้ เพื่อช่วยให้คนไทยรู้จักออมเงินได้มากขึ้น การมีหนี้บัตรเครดิตที่ไม่เคยชำระให้มูลหนี้ลดลง ไม่ว่าบัตรใบนั้นคิดดอกเบี้ยสูงหรือไม่ก็ตาม เพราะหมายถึงเจ้าของบัตรกำลังใช้เงินมากกว่ารายได้ที่หามาได้การกู้ยืมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ ที่เกินกำลังการเงินของตัวเอง มักนำบุคคลนั้นๆ จมอยู่กับปัญหาการเงินในระยะยาว เพราะดอกเบี้ยสินเชื่อที่ต้องชำระทุกเดือน กลายเป็นอุปสรรค เหนี่ยวรั้งคุณไม่ให้เดินไปข้างหน้าตามแผนการออมเพื่อการเกษียณ

ดังนั้น การออมอย่างชาญฉลาด ต้องมาจากการคิดใช้จ่ายที่ชาญฉลาดเช่นกัน ซึ่งบางครั้งอาจต้องใช้วินัยเข้มงวดหยุดการใช้จ่ายเข้าช่วยสมิธมองว่าการตัดลดหนี้บัตรเครดิตนั้น ไม่ต้องใช้เคล็ดลับอะไรเลย เพียงแต่อาศัยกฎข้อห้ามเป็นกยุทธ์ช่วยขจัดหนี้บัตรเครดิตให้หมดไปโดยเร็วสมิธแนะว่า แม้คุณมีเงินเหลือเก็บช่วยให้ขยับเขยื้อนได้มากขึ้น และไม่อึดอัดจากพันธนาการแห่งหนี้บัตรเครดิต ขอให้พกพานิสัยชิงชังอยากขจัดหนี้ไว้กับตัวเองตลอดเวลา ให้มองข้ามหรือเลิกคิดที่จะพึ่งพาหนี้บัตรเครดิต ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นเคล็ดลับเพิ่มเงินออมอย่างแท้จริง ที่ไม่ต้องอาศัยยาวิเศษใดช่วยทำลายโรคร้าย อันเกิดจากการมีหนี้ท่วมหัวจนแทบเอาตัวไม่รอดได้

ส่วนไอเดียที่เคยมีผู้เสนอแนะให้เอาหนี้บัตรเครดิตหลายๆ ใบมารวมกัน และกองไว้กับบัตรเครดิตที่คิดดอกเบี้ยต่ำสุดนั้น สมิธไม่เห็นด้วยและเชื่อว่าหนี้ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็เป็นหนี้ทั้งนั้น เพราะการโยกย้ายถ่ายเทหนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงปัญหาตรงนี้ให้คุณได้มากนักไม่ว่าบัตรเครดิตใบใด จะให้ข้อเสนอพิเศษอย่างคิดดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ สมิธเตือนว่าอย่าได้หลงไปกับข้อเสนอ ที่เหมือนกลลวงเพราะช่วงยกเว้นดอกเบี้ยมีจำกัด ก่อนที่ดอกเบี้ยสูงกลับมาเป็นภาระให้คุณในอนาคต อีกทั้งการโยกหนี้มักมาพร้อมกับต้นทุนต้องจ่าย

4.มีทุนฉุกเฉินใช้เป็นเงินออม

ยิ่งปลดเปลื้องหนี้คิดดอกเบี้ยแพงให้หมดได้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถเดินหน้าตามแผนการออมได้เร็วเท่านั้น เพราะหนี้ที่เคยนำไปใช้ชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแพง กลับกลายเป็นเงินออมที่อยู่ในรูปเงินสำรองเผื่อดึงมาใช้ได้ทันทีที่เกิดเหตุฉุกเฉินโดยเงินทุนเผื่อเหตุฉุกเฉิน ถือเป็นเงินก้อนสำคัญและจำเป็น สำหรับผู้รอบคอบฉลาดบริหารเงิน เพราะประเทศยังต้องมีเงินคงคลังสำรองไว้ เผื่อการขาดดุลหรือมีแต่การนำเข้าไม่มีการส่งออกที่ช่วยทำรายได้ ในระยะเวลานานนับปี เช่นเดียวกันกับทุกครัวเรือน ต้องมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เผื่อสมาชิกทุกคนไม่มีรายได้ จะได้มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนได้นานกว่า 90 วันแต่ใสถานการณ์ที่ทั่วโลก เผชิญกับตัวเลขว่างงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงขาลง และแม้โลกพยายามฟื้นตัว แต่ก็เป็นการฟื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงและเปราะบาง ทำให้นักวางแผนการเงินหลายคนต้องออกมาเตือน ให้ทุกครอบครัวเผื่อเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้จ่าย สามารถมีกินมีใช้ได้ไม่น้อยกว่า 3-6 เดือน และในสถานการณ์ไม่ปกติควรเผื่อเงินฉุกเฉินให้นานเป็นปีได้จะยิ่งดี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละครอบครัวด้วย

วิธีเลือกทำบัตรเครดิตให้คุ้มค่า



1. อ่านเงื่อนไขเรื่องระยะปลอดดอกเบี้ยให้ดีๆ ว่ากี่วัน เช่น Citibank 55 วัน Kbank 45 วัน เป็นต้น

2. Call Center มี 24 ชั่วโมง หรือไม่ เพราะบางที่ ไม่ 24 ชั่วโมง ต้องทำรายการผ่าน IVRในการอายัดบัตร

3. สถานที่รับชำระเงิน เช่น Bank ที่เราเป็สมาชิกบัตร อยู่ใกล้ที่ทำงาน หรือบ้าน ไหม ถ้าใกล้ก็ดี ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่ถ้าไม่ใกล้ล่ะ Counter Services ได้ไหม หรือไม่ก็ Bank อื่นๆ ค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ อย่างของ Citibank ค่าธรรมเนียมของ BBl 35 บาท ถ้าเป็นต่างจังหวัด รู้สึกว่า 50 บาท หรือไม่ก็จ่ายผ่าน E-Banking หรือ E-Atm ได้หรือไม่

4. มีค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่ ถ้ามีค่าธรรมก็พิจารณาว่าบัตรนั้นมีประโยชน์ต่อคุณมากน้อยแค่ไหน สมควรที่จะจ่ายหรือไม่ก็สามารถโทรขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีได้หรือไม่ แต่อย่าลืมว่าคนรุ่นใหม่ ใช้บัตรเครดิตต้องไม่เสียค่ายธรรมเนียมรายปี

5.สิทธิประโยชน์ของบัตรนั้น คุณได้ใช้จริงๆ อย่างเช่น ใกล้ๆบ้านคุณ หรือที่ทำงาน นั้น มีปั๊มน้ำมัน Caltex อยู่ แล้วคุณเติมน้ำมันปั๊มน้ำมันนี้บ่อยๆ แล้วเขาร่วมมือกับผู้ให้บริการบัตรเครดิตของคุณ โดยสังเกตจากป้ายต่างๆว่า ใช้บัตรโลตัสทอง ลด 2% บัตรโลตัสเงินหรือบัตรกรุงศรีเงิน หรือทอง ลด 1% เป็นต้น หรือไม่ถ้าช้อปปิ้งที่โลตัสบ่อยๆ ก็อาจจะใช้บัตรโลตัสก็ได้ เพราะคุณจะได้ Coupon Cashbank เป็นต้น หรืออาจจะเป็นบัตร Co-Brand ก็ได้ ที่คุณคิดว่าเหมาะกับ Lifestyle ของคุณ

6. อัตราดอกเบี้ย ของแต่ละ Bank ไม่เท่ากัน ผู้ใช้โปรดศึกษา

7. บริการของบัตร ที่ให้ความช่วยเหลือกับสมาชิก เช่นบริการลากรถ หรือทั่วๆไป เช่นจองโรงแรม จองรถเช่า บริการรถ Limo เป็นต้น ดูด้วย เพราะเวลาฉุกเฉิน คุณต้องใช้

8.ถ้าคุณเดินทางต่างประเทศบ่อยๆ ในที่นี้จะไม่พูดถึง Lounge แต่จะกล่าวถึง เวลาบัตรหาย คุณสามารถได้บัตรภายใน 24 ชั่วโมงหรือไม่ เท่าที่ทราบก็จะมีอยู่ 2 รายคือ Amex กับ Citibank อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะเวลากระเป๋าตังค์หรือPassport หายขึ้นมา คุณจะได้บัตรเครดิตช่วยชีวิตคุณไว้ เพราะหลายคนพูดแต่ เรื่อง Lounge ไม่ค่อยพูดถึงตรงนี้ซึกเท่าไหร่

9.แนะนำให้ใช้บัตรเครดิต แบบ Photo Card เพราะว่าคุณจะมีเสน่ห์ไปในตัว เขาจะมองก่อน แต่เป็นเฉพาะบางสถานที่

10. การสะสมแต้ม ถ้าคุณใช้บ่อยๆ ก็ดูเรื่องการสะสมแต้มประกอบ บางธนาคาร 1คะแนน 25 บาท หรือ 20 บาท ครับ รวมถึงการสะสมไมล์ด้วย ว่าสายการบินใดเข้าร่วมบ้าง รวมถึงอายุของคะแนน
11.สามารถหักค่าสาธารณูปโภคผ่านบัตรเครดิตได้หรือไม่ เหมาะสำหรับผู้ไม่มีเวลา

12. คุณสามารถเช็คยอดใช้จ่ายของบัตร หรือการเช็คคะแนนสะสม หรือแลกคะแนนสะสม online ได้หรือไม่ เพราะคุณสามารถเรียกดูได้ตลอด 24 ชั่วโมง มันจะช่วยคุณได้เยอะเลย โดยเฉพาะการเช็คยอดค่าใช้จ่าย

อันนี้เป็นแค่ Tip เล็กๆน้อยๆ ในการเลือกบัตรให้ตรงกับ Lifestyle ให้มากที่สุด แล้วคุณจะได้รับประโยชน์คุ้มค่าจากบัตรนั้น แต่ขอเตือนอย่างนึงว่าไม่จำเป็นอย่าใช้บัตรเครดิตดีที่สุด และอย่าใช้เงินเกินตัว ซึ่งเห็นหลายคนๆจากที่รู้จัก ชีวิตผิดพลาดจากการใช้บัตรมามากพอแล้ว จงมีวินัยในการใช้บัตร บัตรเครดิตเป็นโรงเรียนการเงินแห่งแรก ที่สอนให้คุณรู้จักการใช้เงิน และการควบคุมเงิน

ที่มา : http://www.creditd.com/

กลเม็ดใช้บัตรเครดิตแบบถูกวิธี

ทุกวันนี้การใช้บัตรเครดิตกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยทั่วไปแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ประกอบการทั้งธนาคาร และสถาบันที่ออกบัตรเครดิตต่างดึงดูดใจลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่าง ๆ มากมาย จนทำให้จำนวนผู้ใช้บัตรเครดิตเพิ่มอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีบัตรเครดิตแล้วก็ควรใช้อย่างสบายใจและเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยแนวทางดังต่อไปนี้

1.ใช้บัตรเครดิตกับสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้น
จากสภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ ส่งผลทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ฉะนั้น การจะซื้อสินค้า ก็ควรจะเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น ส่วนสินค้าจำพวกอำนวยความสะดวกให้ชีวิตนั้นคงจะต้องรอไว้ก่อน จนกว่าสภาพคล่องทางการเงินดีขี้นกว่าปัจจุบัน

2.คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้
หลังจากใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าแล้ว ควรชำระหนี้ที่ถูกเรียกเก็บให้เจ้าหนี้เต็มจำนวนที่เรียกเก็บและตรงกำหนดเวลาวันชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดอกเบี้ยและค่าปรับจากการชำระหนี้ช้า ฉะนั้น ก่อนใช้บัตรเครดิต ควรคำนึงถึงรายได้ของตน หรือความสามารถในการชำระหนี้คืนให้แก่เจ้าหนี้

3.ดูวันก่อนออกจากบ้านไป ช้อปปิ้ง
พยายามใช้บัตรครดิต ให้ได้ระยะเวลาในการปลอดหนี้ให้มากที่สุดจากธนาคาร โดยเลือกหลังจากวันที่มีการสรุปยอดการใช้จ่ายทุกครั้ง เนื่องจากถ้านำบัตรเครดิตไปใช้ใกล้ถึงวันตัดยอด ก็จะได้เวลาในการปลอดหนี้น้อย และต้องชำระเงินเร็ว

4.ยึดแนวนี้ไม่มีพลาด
- ศึกษาเงื่อนไขของบัตรเครดิตที่ถืออยู่อย่างละเอียด
- หมั่นติดต่อกับธนาคารเพื่อจะได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
- ใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้า หรือบริการในระยะเวลาปลอดหนี้
- ตรวจสอบความถูกต้องของรายการสินค้าและจำนวนเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้ง
- เก็บสลิปที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้
- เก็บรักษาบัตรเครดิตให้ปลอดภัย
- ยกเลิกการถือบัตรเครดิต หากไม่มีความจำเป็น

ปัจจุบันบัตรเครดิตมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิม ซึ่งเคยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 25 % - 29 % ต่อปี เหลือเพียง 18 % ต่อปีเท่านั้นอีกทั้งค่าธรรมเนียมในการเบิกถอนเงินสดก็ปรับลดลงอีกด้วยเหลือเพียง 3 % ของยอดที่เบิกถอน

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกสมัครบัตรเครดิต

1. อัตราดอกเบี้ย

2. ค่าธรรมเนียมต่างๆในการใช้บัตร

3. การให้บริการ

4. ค่าบริการรายปี

5. โปรโมชั่นของบัตรแต่ละประเภท

แนวทางต่อไปนี้เป็นวิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด และการล่วงรู้สัญญาณอันตรายจากการใช้เครดิตอย่างไม่เหมาะสม ผู้บริโภคที่เฉลียวฉลาดจะใช้เครดิตเพื่อส่งเสริมการใช้เงิน มากกว่าการทำให้กลายเป็นภาระทางการเงินลองพิจารณาแนวทางอันชาญฉลาดในการใช้บัตรเครดิตดังนี้

1.จัดทำงบค่าใช้จ่ายประจำเดือน โดยแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ คอลัมน์แรกเขียนรายการค่าใช้จ่ายและคอลัมน์ที่สอง เขียนรายได้หลังหักภาษี เมื่อคุณนำค่าใช้จ่ายมาเปรียบเทียบกับรายได้ คุณจะเห็นทันทีว่าคุณเป็นหนี้เท่าไร และคุณสามารถรับภาระได้หรือไม่ ขั้นตอนนั้นนับว่ามีความสำคัญมาก

2.วิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างกรอบให้ตัวเอง คือการยืมเงินหรือใช้จ่ายเงินล่วงหน้าภายในวงเงินที่คุณสามารถใช้คืนได้ พิจารณาว่าคุณสามารถใช้เงินในจำนวนเท่าไร แล้วค่อยใช้เครดิตตามจำนวนนั้นแทนการนั่งคำนวณว่าคุณจะได้รับเครดิตเท่าไร

3.กฎทั่วไป คือ คุณควรจะจำกัดยอดการกู้ยืมเงินไว้ที่ 20% ของรายได้หลังหักภาษี

4.ควรจำกัดตัวเองด้วยการใช้บัตรเพียงใบเดียว เช่น บัตรเครดิตของห้างสรรพสินค้าที่คุณชอบ หรือบัตรสถานีบริการน้ำมัน

5.ควรแน่ใจว่า ในการชำระเงินที่กู้ยืมมานั้น คุณไม่ต้องจ่ายค่าปรับ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการชำระเงินเวลาใดก็ได้

6.อย่าคิดเอาเองว่าคุณได้รับอนุญาตให้กู้ยืม ดังนั้นคุณจึงพร้อมแล้วที่จะใช้เครดิตให้มากกว่ายิ่งขึ้น หากคุณมีเป้าหมายที่จะควบคุมการเงินของคุณ ควรแน่ใจว่าการเงินของคุณมีเสถียรภาพเพียงพอก่อนการยอมรับเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มเติม

7.ควรอ่านรายละเอียดต่างๆ อย่างถี่ถ้วน เพราะมีข้อแตกต่างมากมายระหว่างผู้ออกเครดิต และเงื่อนไขการจ่ายคืน

8.ปรึกษาคู่สมรสหรือสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในภาระหนี้สิน ควรหาข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น การทำเช่นนี้จะช่วยไม่ให้เกิดการใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น หรือการใช้เงิน อย่างไม่สมเหตุผล อีกทั้งช่วยสร้างความมั่นใจว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทุกคน เต็มใจทำตามข้อตกลง ควรคิดเสมอว่าการเซ็นชื่อร่วมกันถือเป็นสัญญา ถ้าผู้ทำสัญญาไม่อาจชำระหนี้ได้ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นก่อนเซ็นชื่อควรแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีความรับผิดชอบอย่างจริงจัง และพิจารณาว่าคุณ สามารถจัดการกับหนี้สินต่างๆ ได้

9.หากคุณต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากคุณเป็นนักชอปปิ้งด้วยที่ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ และมักทำผิดเงื่อนไขการกู้ยืมเป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน คุณยังไม่ควรใช้บัตรเครดิตจนกว่าคุณจะสามารถใช้เงินภายในวงเงินที่มีอยู่ได้

10.ให้บัตรเครดิตเป็นเพื่อนร่วมทางที่คุณวางใจได้ ไม่มีใครต้องการเผชิญกับภาวะเงินขาดมือในขณะอยู่ต่างประเทศแต่ถ้าคุณมีบัตรเครดิตที่ใช้ได้ทั่วโลกสักใบ ฝันร้ายนี้ย่อมจะไม่เกิดขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.creditd.com/

ปรัชญาของเศรษฐีคนที่ 2 ของโลก

ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก :
วอร์เรน บัพเฟตต์ (Warren Buffet)

มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31,000 ล้านดอลล่าร์ (เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท โอ้แม่เจ้า)

ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา :

1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์

3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม

4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน

5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ

7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1

8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์

9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์

10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน

11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า : จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเ

ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง

มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน

มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน

มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน

มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน

ที่มา : fwd