วิธีคิดของคนรวย
2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อที่จะเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้
3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย
4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก
5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค
6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบ ความสำเร็จ
7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคน ที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ
9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่
10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่
11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
12. คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"
13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน
14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ
15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน
16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง
17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว
ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ เพียงแต่คุณมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่มองมัน สิ่งเดียวที่ขังคุณไว้ในปัญหาคือความคิดของคุณเอง คนแต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีทุกอย่างพอในตัวเองที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุด อย่างที่ชีวิตควรจะเป็น ชีวิตคนมีกายมีใจไม่ต่างกัน ความต่างอยู่ที่คนๆนั้นจะได้รับบทเรียนพอที่จะจริงใจกับตัวเองในการแก้ปัญหาและสร้างชีวิตใหม่หรือเปล่า หากคุณคือคนหนึ่งที่ต้องการสร้างชีวิตใหม่ กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดใหม่ครับ "แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน"
ที่มา : http://thaigetrich.blogspot.com/
50 + บริหารจัดการความเสี่ยงให้สมดุล
การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ
หลังจากที่คุณได้ตรากตรำทำงานมาจนถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ใกล้จะถึงช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือ “ช่วงเวลาแห่งการเกษียณอายุ” ซึ่งผู้ที่มีการเตรียมตัวและวางแผนล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดี จะสามารถยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ตลอดจนสามารถดำเนินชีวิตในช่วงหลังเกษียณอายุได้อย่างมีความสุข
- สุขภาพร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น ระบบต่างๆ ของร่างกายจะค่อยๆ เสื่อมสมรรถภาพลง ซึ่งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น แจ่มใส และชะลอความชราได้ นอกจากนี้การรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง และการตรวจสุขภาพประจำปีก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วยเช่นกัน
- จิตใจ การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและสภาวะแวดล้อมต่างๆ ในช่วงหลังเกษียณอายุ ย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ของคุณ เช่น เศร้า เฉยเมย หรือเอาแต่ใจมากขึ้น ฯลฯ แต่คุณสามารถสร้างความสุขหลังเกษียณได้ด้วยการยอมรับ เรียนรู้ และพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ให้ได้ ซึ่งการหัวเราะหรือยิ้มแย้มจะช่วยให้คุณสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้
- วิถีชีวิตหรือสังคม หลังจากเกษียณอายุแล้วมักจะมีเวลาว่างมากขึ้น หลายคนอาจเลือกที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และสร้างคุณค่าให้กับชีวิต เช่น การไปช่วยงานตามชมรม สมาคม หรือมูลนิธิต่างๆ ฯลฯ นอกเหนือจากการช่วยทำงานบ้านตามความสามารถและความถนัด
- สถานะทางการเงิน ช่วงหลังเกษียณเป็นช่วงที่คุณต้องนำเงินออมที่เก็บสะสมไว้ออกมาใช้จ่าย แต่หากคุณไม่มีการวางแผนที่ดี เงินออมที่เกิดจากการทำงานเก็บเงินมาตลอดทั้งชีวิต จะค่อยๆ ลดลง และอาจไม่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงหลังเกษียณ ดังนั้น คุณจึงจำเป็นต้องออมและลงทุนอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ตลอดจนวางแผนการจัดสรรเงินออมออกมาใช้แต่ละเดือนหลังเกษียณอายุ และวางแผนหารายได้เพิ่มเติมในช่วงหลังเกษียณอายุด้วย
การวางแผนเกษียณอายุเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการเตรียมตัวที่ดีและมีความพร้อมในทุกๆ ด้านจะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น สามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวและสังคมได้อย่างมีความสุข ในช่วงบั้นปลายชีวิต
ที่มา : http://edu.tsi-thailand.org
วัย 40 ค้นหาการลงทุนที่เหมาะสม
การที่คุณจะวางแผนและบริหารเงินออมเพื่อการเกษียณอายุของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพหรืออย่างน้อยก็ให้พอเพียงกับการดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข ควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
1.ระยะเวลาแห่งช่วงชีวิต (Longevity)
เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นว่าคุณจะต้องใช้เงินออมของคุณไปอีกกี่ปีหลังจากเกษียณ โดยในปัจจุบันช่วงชีวิตโดยเฉลี่ยของผู้ชายคือ 72 ปี และของผู้หญิงคือ 75 ปี ซึ่งเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น อาจทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยนั้น และเมื่อมีอายุยืนยาวขึ้น จำนวนเงินที่ต้องการใช้ยามเกษียณอายุก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
2.อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าน่าจะเป็นไปในช่วงเวลาของการเกษียณอายุ (Inflation)
เงินเฟ้อเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม โดยจะเป็นสิ่งที่ทำให้เงินออมที่คุณหามาด้วยความยากลำบากในแต่ละปี ต้อง “ด้อยค่า” ลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งระดับอัตราเงินเฟ้อสูงมากขึ้นเท่าใด เงินออมของคุณก็ด้อยค่าลงมากเท่านั้น
3.วิถีชีวิต (Life Style)
โดยทั่วไปคุณจะต้องการเงินประมาณ 70% ของรายจ่ายก่อนเกษียณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ซึ่งจำนวนเงินนี้อาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับคุณภาพชีวิต ปัญหาสุขภาพ ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่แต่ละคนวางแผนเอาไว้
หากเกิดปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าก่อนหรือหลังเกษียณ เงินออมเพื่อการเกษียณของคุณย่อมที่จะประสบปัญหาอย่างแน่นอน ซึ่งทางเดียวที่จะช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพได้ก็คือ “การออกกำลังกาย”
อย่างไรก็ตาม ประเด็นทั้ง 4 หัวข้อที่กล่าวมาข้างต้น อาจถูกกำหนดได้ง่ายกว่าหากคุณอยู่ในช่วงใกล้จะปลดเกษียณ แต่การประมาณการไว้คร่าวๆ ก่อนปลดเกษียณซัก 20 - 30 ปี ก็เป็นสิ่งที่คุณน่าจะลองทำดู
เคล็ด(ไม่)ลับ...สู่การเกษียณอย่างมั่งคั่ง
การมีอิสรภาพทางการเงินในขณะที่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้น นับเป็นชีวิตที่น่าปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากคุณจะมีความมั่นคงทางการเงินจนไม่จำเป็นต้องทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพอีกต่อไป คุณยังมีเวลาทำในสิ่งที่รักหรือต้องการ ซึ่งนั่นก็ถือว่าเข้าข่าย “เกษียณ” ได้เช่นกัน แต่การเกษียณอายุก่อน 60 ปี และมีความมั่งคั่งทางการเงินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คุณต้องมีการวางแผนทางการเงินที่ดี ลองมาดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณมีความมั่งคั่งตอนเกษียณ
- เริ่มออมอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ตอนอายุน้อยๆ โดยในช่วงแรกๆ อาจจะออมเงินประมาณ 10% ของรายได้ แต่เมื่อหน้าที่การงานมีความมั่นคงมากขึ้น รายได้มากขึ้น ก็ควรจะเพิ่มสัดส่วนการออมให้มากขึ้น
- ฉลาดซื้อ รู้จักเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็น คุ้มค่า และคุ้มประโยชน์ใช้งาน
วัย 30 สร้างรากฐานเพื่อความมั่นคง
ตัวอย่างที่ยกมาเป็นเพียงแนวทางคร่าวๆ สำหรับการลงทุนให้เหมาะกับช่วงวัยของคุณเท่านั้น ซึ่งคุณสามารถที่จะปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับข้อจำกัดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และผลตอบแทนที่คาดหวัง เพื่อให้มีพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวคุณเองมากที่สุด
ช่วงอายุสามสิบกว่าๆ เป็นช่วงที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงกว่าในช่วงเริ่มต้นทำงานค่อนข้างมาก การใช้จ่ายในช่วงวัยนี้จึงควรมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช้ ก็ไม่ซื้อ รวมทั้งมีจัดทำงบดุลส่วนบุคคล และ งบรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทราบถึงสถานะทางการเงินและพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณและครอบครัว
ทำไมเราควรฝึกจดทำบัญชี
คุณเคยสงสัยบ้างมั้ย... หลังจากเงินเดือนออกไปแค่ไม่กี่วัน แต่ทำไมเงินในบัญชีกลับหายเกลี้ยงไปซะเฉยๆ นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเงินหายไปไหน สุดท้ายที่พอจะทำได้ก็คือ หยิบเครื่องคิดเลขออกมานั่งคำนวณว่าเงินที่เหลืออยู่จะพอใช้จนถึงสิ้นเดือนหรือไม่ แต่หากคุณทำบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่เป็นประจำ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ลองมาดูประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับรายจ่ายกัน
1.ทราบรายรับ – รายจ่ายที่แน่นอน
ทำให้คุณมีข้อมูลสำหรับการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงในอนาคต
2.ทราบพฤติกรรมการใช้จ่าย
ว่าคุณมีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยอย่างไร และฟุ่มเฟือยไปกับการซื้อสิ่งของต่างๆ ที่ไม่จำเป็นและไม่เคยใช้หรือไม่
3.ทราบสถานะของตัวเองและครอบครัว
ในปัจจุบันตลอดจนสามารถนำมาคาดการณ์การใช้จ่ายในอนาคตให้เหมาะสมได้
ป้องกันการผิดพลาดในการใช้จ่ายการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะทำให้คุณมีความรอบคอบและรัดกุมในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น ความผิดพลาดในการใช้จ่ายก็จะลดลง
4.ช่วยในการวางแผนการใช้จ่ายและจัดสรรเงินออมให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
คุณอาจวางแผนแบ่งรายได้ออกเป็นส่วนๆ เช่น 20% เป็นเงินออม 50% เป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นทั่วไป จำพวกอาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และอีก 30% ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ค่าใช้จ่ายเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ และการประกันชีวิต
สรุปง่ายๆ ได้ว่า “การทำบัญชีรายรับรายจ่าย” เป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนทางความคิดให้เกิดการลด ละ เลิกใช้จ่ายสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ รู้จักการเก็บออม รู้คุณค่าของการใช้เงิน รู้ฐานะการเงินของครอบครัวว่าแต่ละเดือนมีรายรับรายจ่ายเท่าไร ก่อให้เกิดเงินออม และทำให้ครอบครัวมีความสุข
ในการนำเงินออมไปลงทุนในทางเลือกต่างๆ นั้น ล้วนแต่มีผลประโยชน์ทางภาษีที่รัฐมอบให้ เนื่องจากรัฐมีนโยบายจะส่งเสริมการออม รวมทั้งส่งเสริมธุรกิจบางประเภทในช่วงเวลาหนึ่งๆ ดังนั้น หากคุณเข้าใจรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับภาษีเงินได้ และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐมอบให้อย่างคุ้มค่า จะช่วยให้คุณสามารถประหยัดภาษีในแต่ละปีลงได้ โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับการออมและการลงทุนมีดังนี้
1.การซื้อประกันชีวิตถ้าคุณทำประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป คุณสามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตมาหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 50,000 บาท
2.การซื้อ / เช่าซื้อ / สร้างที่อยู่อาศัยถ้าคุณต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ธนาคาร โดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นหลักประกันการกู้ยืมนั้น คุณสามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมมาหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
3.การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-term Equity Fund : LTF)คุณสามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวมาหักลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
4.การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF)คุณสามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพมาหักลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมเข้ากับเงินสะสมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ฯลฯ
นอกจากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีรายได้บางประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้อีกด้วย ซึ่งคุณควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม รวมไปถึงการติดตามกฎระเบียบหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณสามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลตอบแทนจากการออมและการลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ที่มา : http://edu.tsi-thailand.org/
วัย 20 เริ่มต้นฝันให้เป็นจริง
โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แล้วซื้อทิ้งไว้หรือซื้อเพิ่มเรื่อยๆ จะมีโอกาสได้กำไรสูงมาก เพราะเวลาจะช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ ได้ ส่วนเงินออมที่เหลืออีก 10% ควรเก็บไว้ในรูปเงินฝากธนาคาร และตราสารหนี้ต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ที่มีความปลอดภัยของเงินต้นสูง และได้อัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน
ตัวอย่างที่ยกมาเป็นเพียงแนวทางคร่าวๆ สำหรับการลงทุนให้เหมาะกับช่วงวัยของคุณเท่านั้น ซึ่งคุณสามารถที่จะปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับข้อจำกัดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และผลตอบแทนที่คาดหวัง เพื่อให้มีพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวคุณเองมากที่สุด
เคล็ดไม่ลับ...กับการออม
ในวัยหนุ่มสาวมักไม่ค่อยนึกถึงการวางแผนการเงินสำหรับอนาคตเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมเงินออมไว้สำหรับตอนเกษียณอายุ เพราะอาจจะดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก หนุ่มสาวส่วนใหญ่จึงมักจะบริหารจัดการเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในปัจจุบัน โดยหารู้ไม่ว่า... ยิ่งเริ่มออมช้าเท่าใด ยิ่งทำให้ยอดเงินออมในอนาคตลดลงมากขึ้นเท่านั้น เอาล่ะ... ลองมาดูเคล็ด (ไม่) ลับ เกี่ยวกับการออมกัน
1.กำหนดเป้าหมายในการออม
ก่อนที่จะออมคุณควรกำหนดเป้าหมายว่าออมเงินเท่าใดถึงจะพอดี และเพียงพอที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างสบายๆ ในช่วงหลังเกษียณ เพราะถ้าออมมากเกินไป ก็อาจจะเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียรในปัจจุบัน แต่ถ้าออมน้อยเกินไป เมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้เงิน ก็อาจจะมีเงินไม่พอใช้
2.เริ่มออมอย่างสม่ำเสมอ
ในจำนวนเงินที่ไม่เกินความสามารถของตนเอง โดยในช่วงแรกๆ ที่มีรายได้ไม่มากนัก คุณอาจจะออมเงินประมาณ 10% ของรายได้ แต่เมื่อหน้าที่การงานมีความมั่นคงมากขึ้น รายได้มากขึ้น ก็อาจจะเพิ่มสัดส่วนการออมให้มากขึ้น
3.แบ่งเงินไปลงทุน
เงินเฟ้อเป็นตัวบั่นทอนให้เงินออมของคุณด้อยค่าลง กล่าวคือ หากวันนี้คุณมีค่าครองชีพเดือนละ 10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท ในอีก 20 ปีข้างหน้า หากเงินเฟ้อปีละ 5% ค่าครองชีพของคุณจะเพิ่มเป็นเดือนละ 26,500 บาท หรือปีละ 318,000 บาทเลยทีเดียว ดังนั้น เพื่อให้ได้เป้าหมายเงินออมตามที่ต้องการ คุณอาจต้องแบ่งเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
กลยุทธ์ออมเงินแบบลบ 10 บวก 10
เมื่อคุณมีเป้าหมายในชีวิตและเป้าหมายในการออมเงินแล้ว คุณอาจสงสัยว่า... จะออมเงินอย่างไร ให้มีเงินออมตามเป้าหมายที่วางไว้ ในเรื่องนี้มีคำตอบง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพในการออมสูงมากอีกวิธีหนึ่งก็คือ “กลยุทธ์ออมเงินแบบลบ 10 บวก 10”
กลยุทธ์ออมเงินแบบลบ 10
เมื่อหาเงินมาได้เท่าไรให้หักไว้เป็นเงินออมก่อนที่จะเอาไปใช้จ่ายทันที 10% เช่น หากคุณมีเงินเดือน 10,000 บาท ก็หักไว้เป็นเงินออมก่อนเลย 1,000 บาท การออมเงินลักษณะนี้เหมาะกับคนที่มีวินัยทางการเงินค่อนข้างดี
กลยุทธ์ออมเงินแบบบวก 10
ใช้เงินไปเท่าไรต้องเก็บเงินเพิ่มให้ได้ 10% ของเงินที่ใช้ไป เช่น ซื้อของไป 2,000 บาท ก็ต้องออมเงินเพิ่มขึ้นอีก 200 บาทไปพร้อมๆ กัน วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีนิสัยชอบจับจ่ายใช้สอย เพราะจะช่วยเตือนความจำให้เก็บเงินทุกครั้งที่ใช้จ่าย
อย่าลืมว่า... เมื่อคุณคิดที่จะออมแล้ว คุณจะต้องลงมือเก็บออมโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง และต้องวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างสม่ำเสมอ โดยการจดบันทึกหรือทำบัญชีายรับรายจ่ายเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเอง
พลังแห่งดอกเบี้ย เพียงวันละ 20 บาท ก็มีเงินแสนได้
รู้หรือไม่... ว่าคุณสามารถมีเงินหนึ่งแสนบาทได้ ด้วยการออมเพียงวันละ 20 บาท หากคุณนำฝากธนาคารทุกวันอย่างสม่ำเสมอ โดยได้รับดอกเบี้ย 2% ต่อปี จะทำให้คุณมีเงินถึง 128,776 บาท ในระยะเวลาเพียง 15 ปี
สำหรับนักออมมือใหม่หรือนักออมมืออาชีพอย่างคุณ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ วินัยในการออมของนักออม เมื่อทราบเช่นนั้นแล้ว ก็ควรเร่งทำการออม เพื่อจะได้เป็นเศรษฐีในอนาคต
ที่มา : http://edu.tsi-thailand.org/
วิธีสมัครเล่นหุ้น
นักลงทุนมือใหม่ที่กำลังกระโดดเข้ามาในตลาดหุ้นก็มีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเรามาดูวิธีการสมัครเล่นหุ้นเป็นขั้นตอนกันดีกว่า
วิถีมหาเศรษฐี
โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่นๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่างๆของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี
12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1.ไม่หาเงินเพื่อเงิน
2.รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกกับซูซี่ อดีตภรรยาที่ล่วงลับไป ในตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ว่า เขาจะต้องรวย เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนัก หรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาด้วยทักษะที่ถูกต้อง ในสถานที่ที่ถูกต้อง และในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือ ทักษะในการจัดสรรเงินทุน หรือก็คือ การลงทุนนั่นเอง
3.เป็นนายของตัวเอง
4.เสพติดความทะเยอทะยาน
ความทะเยอทะยานนั้น มีด้านมืด มันอาจทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป และเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้น ควรจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจน และเราต้องไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา
5.ตื่นเช้า มาถึงก่อน เริ่มตั้งแต่อายุน้อย
เป็นสิ่งที่จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงและเป็นเศรษฐี ได้ง่ายที่สุด
แนวทางข้อนี้ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง นั่นคือ ถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเองว่าเก่งทางไหนตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน
6.อย่าตั้งเป้าหมาย
ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจและเป็นเป้ากว้างๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง พวกเขาเน้นที่การปฏิบัติว่าต้องได้ผลมากกว่าการตั้งเป้าแต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ
นักลงทุนเองก็ควรคิดว่า Execution หรือการปฏิบัตินั้น สำคัญกว่าเป้าหมายมาก ถ้าเราลงทุนแล้วพอร์ตเราโตขึ้นเรื่อยๆนี่แหละความสำเร็จ
7.อย่ากลัวความล้มเหลว
โดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น
ถ้าเรากลัวความล้มเหลว เราจะไม่กล้าทำอะไร ว่าที่จริงไม่มีคำว่าล้มเหลว ยกเว้นว่าคุณจะเลิก การลงทุนก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งเราจะชนะ
8.ทำเลไม่สำคัญ
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เรามีเครือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ
ว่าที่จริง บัฟเฟตต์ อยู่ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา ซึ่งเป็นเมืองทางการเกษตรมา ตั้งแต่เริ่มธุรกิจลงทุนเมื่อ 50 ปีก่อน ที่การสื่อสารยังไม่ดีนัก แทนที่จะอยู่ที่นิวยอร์ก หรือบอสตัน ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงิน และการลงทุน ผมเองคิดว่า นักลงทุนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ ถึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ว่าที่จริง
ยิ่งห่างอาจจะยิ่งดี
9.ยึดมั่นในจรรยาบรรณทางธุรกิจ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดว่า "ชื่อเสียงใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการทำลาย ดังนั้นคุณต้องสำนึกไว้ตลอดเวลา"
10.เน้นที่การขาย
ของบริษัท และเป็นความสำเร็จของราคาหุ้น ในความรู้สึกของผม
11.ขอยืมไอเดียจากคนที่ เก่งที่สุดและคนที่แย่ที่สุด
การอ่านประวัติและวิธีคิดของคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างการลงทุน ของบัฟเฟตต์ ผมคิดว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้
12.ไม่มีวันเกษียณ
การเกษียณเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเกษียณเป็นอันตรายต่อความสนุกในชีวิต อันตรายต่อความมั่งคั่งส่วนตัว
ออมเงินกับประกันชีวิตคุ้มมั้ย?
รู้จักประกับชีวิต
ประกันชีวิตเป็นบริการอย่างหนึ่งที่ให้หลักประกันเป็นเงินลงทุนและบริการดูแลสุขภาพควบคู่กัน ซึ่งมีมากมายหลายแพ็กเกจที่บริษัทประกันจะจัดโปรโมชั่นเพื่อให้เหมาะสมกับลูกค้า โดยปกติแล้วมักจะจัดประกันชีวิตให้รวมกับการประกันสุขภาพไปด้วย ซึ่งประกันชีวิตคุณจะได้เงินปันผลหรือได้เงินคืนเมื่อกรมธรรม์สิ้นสุดลง แต่ประกันสุขภาพก็เหมือนกับเงินกินเปล่าทุกๆ ปี แต่จะปลอดภัยและคุ้มค่าเมื่อคุณไม่สบาย ประกันชีวิตจึงถือเป็นการออมเงินรูปแบบหนึ่งที่มีของแถมเป็นการคุ้มครองจากบริษัทประกัน ดังนั้น ความคุ้มค่าจึงอยู่ที่ความต้องการของคุณเองว่าต้องการเงินคืนในรูปแบบใด ภายในปีไหน เช่น ออมสำหรับเกษียณอายุ ออมสำหรับการศึกษาของลูก เป็นต้น
ประกันค่าใช้จ่าย...ต่อเนื่อง
การคิดทำประกันนั้นเป็นรายจ่ายต่อเนื่องที่อาจจะทำให้คุณหมุนเงินไม่ทันได้ แม้ว่าจะสามารถแบ่งจ่าย 3 เดือน 6 เดือน แต่ก็ยังถือว่าเป็นรายจ่ายประจำที่คุณจะต้องหามาให้ทัน ซึ่งถ้าคุณวางแผนไม่ดีแล้วขาดส่งไป 1-2 งวด ประกันอาจจะงดการคุ้มครอง รวมทั้งอาจจะริบเงินต้นส่วนที่คุณได้ส่งมาหรือได้คืนแบบไม่เต็มจำนวน ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกทำประกันชีวิต ต้องดูศักยภาพตัวเองด้วยว่าสามารถทำได้แค่ไหน อย่าเพิ่งเห็นแก่ค่าตอบแทนอีก 20 ปีข้างหน้า ถ้าคุณไม่อาจส่งเงินได้อย่างสบายๆ เพราะถ้ายกเลิกก่อนหน้านั้นคุณอาจจะไม่ได้อะไรเลย แถมขาดทุนด้วย
ค่าตอบแทน...จากประกันชีวิต
หากคุณจ่ายประกันชีวิตปีละ 50,000 บาท รวมแล้ว 10 ปี อย่างต่ำสุดคือคุณจะได้เงินทั้งหมด 500,000 บาทคืน ซึ่งคุณควรดูที่ระยะเวลาและผลตอบแทนการออมครั้งนี้ให้ดี เพราะบางบริษัทจะให้คุณส่งเป็นเวลา 10 ปี เมื่อครบกำหนดส่งแล้วก็จะยืดเวลาการชำระเงินออกไปเป็นปีที่ 15 ข้อเสียคือ คุณจะต้องรอเงินนานขึ้น แต่ค่าตอบแทนก็อาจจะมากขึ้นด้วย ขึ้นอยู่กับความพอใจของคุณว่ามันจะคุ้มค่ากับการรอหรือไม่ ส่วนมากค่าตอบแทนของบริษัทประกันจะเป็นการประมาณการ เนื่องจากเขาต้องนำเงินของคุณไปลงทุนเช่นกัน ดังนั้น คุณควรถามการการันตีที่แน่นอน พร้อมอ่านสัญญาให้ละเอียดที่สุด เพราะตัวแทนประกัน (บางคน) อาจจะให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนและเป็นผลเสียต่อคุณได้ เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวที่หนักเอาการเหมือนกัน
ข้อดีของการออมแบบประกัน
มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะทำประกัน เนื่องจากเป็นการบังคับตัวเองไปในตัวว่าจะต้องเก็บออมเงิน และมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น ทองคำ หรือกองทุนบางประเภท แถมยังได้ความคุ้มครองอื่นๆ เป็นของแถมด้วย เรียกว่าเป็นการซื้อความมั่นคงในชีวิตและคนที่อยู่ภายหลัง หากวันใดวันหนึ่งเราจากโลกนี้ไปก่อน พวกเขาจะอยู่ได้ไม่ลำบาก ส่วนที่ว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้มต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ และไม่เสียรู้ต่อสัญญาต่างๆ ของประกัน เพียงเท่านี้ก็จะคุ้มค่าพอกับการออมแบบอื่นๆ แต่มีบริการเป็นของแถมด้วย
ขอบคุณข้อมูล : mcot.net
ทริกง่ายๆ...ช่วยคุณจัดพอร์ตยามยาก
17 เคล็ดลับในการประหยัดเงินสำหรับคุณผู้หญิง
1.เวลามาทำงานหรือต้องออกไปพบลูกค้า ถ้าอยู่ใกล้ที่ทำงานให้ใช้บริการรถไฟฟ้าค่ะ จะเป็นบีทีเอสหรือใต้ดินก็แล้วแต่สะดวก หรือจะนั่งรถแอร์ก็ได้ ประหยัดแถมเย็นอีกต่างหาก
2.ถ้าเพื่อนชวนไปกินข้าวในช่วงที่เงินเดือนออกพอดี ให้เลี่ยงเพื่อนที่ช้อปเก่งๆ ไว้ เพราะเดาได้เลยว่ากินเสร็จเค้าต้องดึงคุณไปช้อปกระจายแน่ค่ะ
3.อย่าช้อปตอนที่คุณอารมณ์ไม่ดี เบื่อ หรือเซ็งสุดขีดนะคะ เพราะเงินจะโบยบินออกจากกระเป๋าง่ายมากเลยค่ะ
4.มองหาร้านอาหารที่จัดโปรโมชั่นลดราคาพิเศษไว้ เช่น หลังหนึ่งทุ่มจะได้ลดค่าอาหาร 30 - 60% อะไรทำนองเนี้ยน่ะค่ะ แต่ต้องดูด้วยนะว่าอาหารยังสดสะอาดอยู่รึเปล่า ไม่ยังงั้นคุณคงต้องเสียค่ายาแก้ท้องเสียเพิ่ม
5.เวลาซื้อเสื้อผ้าอย่าซื้อตามเทรนด์มากนัก มันจะตกรุ่นเร็วมากค่ะ ให้เน้นที่ใส่ได้หลายโอกาสแต่ก็ไม่เชยจนเกินไปจะดีกว่าค่ะ
6.แต่ถ้ายังฝังใจกับแฟชั่นตามเทรนด์อยู่ ให้พยายามห่างหนังสือแฟชั่นไว้ ไม่งั้นคุณได้เสียตังค์ตามใจอยากแน่ๆ
7.คิดถึงช่วงที่เราไม่มีเงิน หรือเงินไม่พอใช้เข้าไว้ค่ะ จะช่วยยับยั้งการใช้เงินได้
8.อย่าพกเงินสดในกระเป๋าเยอะนัก ให้จำไว้ว่าพกเยอะจ่ายเยอะ เผลอๆ จะมีเจ้าหัวขโมยมาเอาไปใช้ด้วยจะแย่ไปใหญ่ค่ะ
9.พยามยามอย่าเที่ยวกลางคืนหรือทานข้าวนอกบ้านให้บ่อยนัก เพราะนั่นเป็นการสิ้นเปลืองมากที่สุดเลย ไหนต้องเลี้ยงเพื่อน ไหนต้องให้ทิปพนักงานอีก ไม่คุ้มค่ะ
10.มองหาวิธีออมเงินดีกว่า เช่น ซื้อประกันแบบออมทรัพย์ เพราะในระยะยาวมันจะมีประโยชน์กับคุณนะคะ
11.หากกำลังเล็งของไว้ชิ้นนึงควรตั้งงบประมาณไว้ก่อน แล้วสืบเสาะราคาของชิ้นนั้นหลายๆ ที่ค่ะ อย่ารีบซื้อทันทีที่เห็น ไม่งั้นจะเสียใจทีหลังเพราะไปเจอราคาถูกกว่าทั้งๆ ที่คุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ
12.ใช้บัตรเครดิตในยามจำเป็นจริงๆ อย่าลืมว่าบางครั้งมีการชาร์ทด้วย เงินที่เค้าชาร์ทเราไปมันน่าเสียดายนะคะ
13.ของใช้ที่จำเป็นในบ้านควรซื้อตอนลดราคาค่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ตามห้างใหญ่มักแข่งขันกัน เราก็มีโอกาสเปรียบเทียบราคาได้ ห้างไหนถูกสุดก็ไปห้างนั้นแหละค่ะ
14.ถ้ามีคนมาชวนให้สมัครบัตรต่างๆ ต้องดูก่อนค่ะว่าเสียตังค์มั้ย ถ้าเสียเยอะจนเว่อร์ไปก็ไม่ต้องสมัครหรอกค่ะ บางทีสมัครไปไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำพกให้หนักกระเป๋าเปล่าๆ
15.พวกเครื่องสำอางก็เลือกซื้อแบบที่เราจำเป็นต้องใช้จริงๆ ค่ะ บางคนเห็นอันไหนออกมาใหม่ซื้อไว้ก่อน ใช้ไม่ใช้ค่อยว่ากัน บางคนซื้อเก็บไว้จนเสียก็มีนะคะ
16.เสื้อผ้าที่เรามีอยู่หากเรารู้จัก Mix & Match ก็จะช่วยประหยัดตังค์ไปได้เหมือนกัน อย่าลืมว่าชุดสวยๆ เดี๋ยวนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆ แล้วนะคะ ยิ่งสวยก็ยิ่งแพงค่ะ
17.ใครที่กำลังคิดจะเปลี่ยนแฟนใหม่ล่ะก็..อย่าเพิ่งค่ะ..เอ๊ะแล้วมันเกี่ยวกับกับการประหยัดตรงไหนล่ะ..เกี่ยวค่ะ เพราะถ้าทิ้งคนเก่าไปหาคนใหม่ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการกิน การเที่ยว เพิ่มขึ้นไงคะ อย่าลืมว่าตอนจีบกันเงินเรายังไม่แชร์กันหรอกนะ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกเสมอ พอเป็นแฟนกันแล้วนั่นแหละถึงจะหารสองค่ะ
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=welcome-to-my-blog&month=06-2008&date=24&group=34&gblog=119
วิธีออมเงินของคู่รักง่าย ๆ
8 เคล็ดลับใช้เงินซื้อความสุขให้ตัวเอง
เคยมั้ย เมื่อคุณได้ได้โบนัสประจำปี หรือเมื่อถึงวันเกิด วันสำคัญในชีวิต คุณจะยอมควักกระเป๋าเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเองโดยไม่ลังเล เสียดาย หรือหาเหตุผลร้อยแปดมาบอกปัดความต้องการของตัวเอง ถ้าคำตอบคือ ไม่
วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" มีกุญแจไขความลับเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเงินกับความสุข เพื่อทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นมาฝาก
ความลับที่ว่าก็เพียงง่าย หากคุณยอมจ่ายเงิน เพื่อ
1.สาน สัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนในครอบครัวและเพื่อนของคุณให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
จากผลการศึกษาพบว่าการมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น เป็นอีกหนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการมีความสุขในชีวิต โดยคุณเพียงแค่ซื้อตั๋วเครื่องบินซักใบเพื่อบินไปดูหน้าหลานคนแรกของคุณ หรือสละเวลาไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยม แทนที่จะไปสนุกสุดเหวี่ยงกับงานงานปาร์ตี้
2.ทิ้งความเบื่อหน่ายใน ชีวิตหลังแต่งงาน
หากคุณยังจมปลัก และวุ่นวายใจกับเรื่องสนามหญ้าที่ขึ้นรก ผ้ากองโตที่ยังไม่ได้ซัก ขอแนะนำให้คุณใช้เงินแก้ปัญหาเหล่านี้ ด้วยการจ้างเด็กวัยรุ่นพาร์ทไทม์ซักคนมาช่วยคน พร้อมกับล้างโรงรถของคุณให้สะอาดเอี่ยมด้วย
3.ออกกำลังกายให้มากขึ้น
จากผลการวิจัยพบว่าการออกกำลังเป็นวิธีที่เร็วที่สุด และวิธีที่รับรองได้ว่าสามารถช่วยให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ยอมลงทุนควักกระเป๋าเพื่อซื้ออะไรง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นซื้อไอพอด เครื่องเล่นเอ็มพี3แล้วหล่ะก็ การสู้ราคาเพื่อไปออกกำลังกายในยิมที่หรูหราทันสมัย หรือการซื้อรองเท้ากีฬาใหม่ซักคู่ก็ไม่ใฃ่เรื่องยาก เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้คุณอยากออกกำลังมากขึ้น เชื่อเถอะว่านี่คือการลงทุนเพื่อความสุขที่คุ้มสุดๆ
4.คิดถึงเรื่อง ที่สนุก และสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้กับคุณได้
คุณเพียงแต่สละเวลาเล็กน้อยเพื่อคุยกับตัวเองและลองถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ สามารถสร้างความบันเทิงเริงใจให้คุณได้ การตกปลา ชมนก การเดินทาง การล่าสัตว์ แม้กระทั่งการเดินช็อบปิ้งของมือสอง การทำครัว การเล่นสกี หรือการทำสมุดภาพ
สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องมั่นใจว่าปฎิทินการทำงานส่วนตัวของคุณยังมีที่ว่างพอสำหรับกิจกรรม ที่สามารถสร้างความสุขให้คุณได้ และเพื่อให้เงินเป็นตัวสร้างความสุขให้กับคุณ คุณควรจะใช้เงินเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ แทนที่คุณจะเป็นเพียงผู้ครอบครองเงินมากๆไว้เท่านั้น
5.สงบและมั่นคง
ความสงบเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่ง ซึ่งเงินของคุณก็สามารถช่วยให้มันเกิดขึ้นได้ ด้วยการชำระหนี้สินที่มีอยู่ หรือการเก็บออมเงินไว้ส่วนหนึ่ง
6.จ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารที่เป็น ประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น
ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ราคาของผัก ผลไม้ และอาหารสุขภาพทั้งหลายมักจะมีราคาแพงกว่าอาหารฟาสต์ฟู้ด แต่การกินอาหารที่มีประโยชน์จะส่งผลดีในระยะยาวต่อร่างกายของคุณ
7.ใช้ เงินของคุณเพื่อคนอื่นบ้าง
หนึ่งในวิธีของการสร้างความสุขให้กับตัวคุณเอง คือ การทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย ให้ลองพยายามนึกว่าคุณจะใช้เงินของคุณไปในทางใดเพื่อช่วยให้คนอื่นพบกับ โอกาสที่แตกต่างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นคุณอาจบริจาคหนังสือของคุณเพื่อเติมเต็มชั้นหนังสือที่ว่างเปล่าของเด็ก ที่ยากไร้ เป็นต้น
8.ให้คิดถึงตัวเองก่อน
กุญแจสำคัญของการมีความสุขที่สำคัญที่สุด คือการรู้จักตัวเอง และรู้ว่าอะไรจะทำให้ตัวเองพบกับความสุขที่แท้จริง
ข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์
เดินทางแบบประหยัดน้ำมัน
"การขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวยังคงเป็นวิธีเดินทางที่ถูกที่สุด" จัสทิน แม็กนอลจากสมาคมยานยนต์แห่งอเมริกา กล่าว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขับรถเที่ยวในระยะทางยาว 800 กิโลเมตร โดยใช้รถที่วิ่งได้สิบกิโลเมตรต่อน้ำมันหนึ่งลิตร และคุณเติมน้ำมันราคาลิตรละ 29 บาท คุณก็จะเสียเงินเติมน้ำมันเพียง 2,320 บาทเท่านั้นสำหรับการเดินทางทั้งครอบครัว ก่อนจะออกรถ สิ่งที่ควรทำก็คือ
1. บำรุงรักษารถให้อยู่ในสภาพดี ให้ช่างปรับเครื่องยนต์ให้ดี เปลี่ยนไส้กรองอากาศ เติมลมยางให้พอดี และใช้น้ำมันเครื่องให้ถูกชนิดจะประหยัดน้ำมันได้ร้อยละ 19
2. ลดน้ำหนักบรรทุก สัมภาระหนัก 45 กิโลกรัมในกระโปรงรถจะทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นร้อยละหนึ่งถึงสอง สัมภาระที่อยู่บนหลังคาจะทำให้เปลืองขึ้นถึงร้อยละห้าทีเดียว
3. ไม่ต้องเติมน้ำมันชั้นดี น้ำมันชั้นยอดไม่ทำให้รถคุณวิ่งได้ไกลขึ้นหรือดีขึ้นหรอกถ้าคู่มือไม่ได้ระบุว่ารถคุณต้องการน้ำมันชั้นเยี่ยมนั้นจริงๆ รถเพียงร้อยละสิบเท่านั้นที่ต้องใช้น้ำมันชั้นดี
4. สมัครบัตรเครดิตที่ให้ส่วนลดในการเติมน้ำมัน บัตรเครดิตหลายบริษัทให้ส่วนลดหรือมีเงินคืนให้สำหรับเงินที่ใช้เติมน้ำมันหรือซื้อสินค้าอื่นๆ
ที่มา : http://www.readersdigest.co.th
29 เคล็ดลับทางการเงิน
โดย สาธิต บวรสันติสุทธิ์
1. หักลดหย่อนให้เต็มที่
22. สะสมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ