โปรโมทเว็ปฟรี

โปรโมทเว็บฟรี โฆษณาเว็บฟรี ซับมิทเว็บฟรี Submitฟรี AddUrlฟรี
Social Bookmark Dofollow ล้าน% ได้ Backlink ได้ traffic ได้ Pr มาซับมิท กับ Social Bookmark Dofollow network ของเรา อันดับเว็บท่านใน Search Engine ต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ

http://www.bookmark-dofollow.in.th/ (รับเว็บเฉพาะเนื้อหาภาษาไทย)

http://www.dofollow.in.th/ (รับเว็บเฉพาะเนื้อหาภาษาไทย)

http://www.undubde.com/ (รับเว็บเฉพาะเนื้อหาภาษาไทย)

http://www.bookmark-dofollow.com/ (รับเว็บเฉพาะเนื้อหาภาษาอังกฤษ )

http://www.โปรโมทเว็บไซต์.net/ (รับเว็บเฉพาะเนื้อหาภาษาไทย)

http://www.โฆษณาเว็บไซต์.com/ (รับเว็บเฉพาะเนื้อหาภาษาไทย)

ทายนิสัยจากการเก็บตังค์

ใครเลยจะเชื่อว่าการเก็บตังค์ก็สามารถจะบอกนิสัยของคนเราได้เหมือนกัน ลองนึกกันดูนะ ว่าคุณเก็บตังค์แบบไหนกันบ้าง ……

จัดเรียงอย่างดีในกระเป๋าตังค์

คนที่ชอบเก็บเงินไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยในกระเป๋าตังค์ โดยแยกเหรียญไว้ต่างหากในช่องซิป แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตัวเองเป็นอย่างมาก นอกจากจะรู้จักเก็บออมเงินแล้วยังมีความรับผิดชอบสูง สุขุมรอบคอบและรู้จักคิดก่อนตัดสินใจ แม้บางครั้งจะเผลอจู้จี้ ขี้บ่นไปบ้าง แต่เพื่อนๆ ก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวคุณนะ

ซุกไว้มุมนั้นมุมนี้

หากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบพับสตางค์ไว้ที่มุมต่างๆ ในกระเป๋า จนบางครั้งก็จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ที่ไหนบ้าง วันดีคืนดีจึงจะเปิดไปเจอ ถ้าคุณมีนิสัยที่ว่ามานี้แหล่ะก็บอกได้เลยว่าคุณเป็นคนรักอิสระ เสรี และออกจะยึดติดกับความสะดวกสบายอยู่เหมือนกัน อาจจะไม่ค่อยมีระเบียบนัก แต่ก็ยังมีความรอบคอบอยู่บ้าง แม้บางครั้งจะเผลอช้อปอย่างเมามัน แต่คุณก็สามารถจะเก็บตังค์ได้เหมือนกันนะ

พกแต่เงินล้วนๆ ไม่ใช้กระเป๋าตังค์

หากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ถนัดแต่จะพกเงินใส่กระเป๋าเสื้อหรือกางเกงมากกว่าที่จะใส่ในกระเป๋าตังค์ แสดงว่าคุณเป็นคนเรียบง่าย สบายๆ และตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง บางครั้งคุณก็ดูเหมือนเด็กๆ ไม่ชอบระบบระเบียบ เปิดเผย ช่างฝัน และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกับใคร แต่ก็ใช่ว่าคุณจะเป็นเด็กในสายตาคนอื่นตลอดไปนะ เพราะในบางคราวคนอื่นก็มองว่าคุณเป็นผู้ใหญ่ บ้างเหมือนกัน

พกแต่เหรียญ

หากว่าในกระเป๋าตังค์ของคุณมีแต่เหรียญ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญห้าสิบสตางค์ ไปจนถึงเหรียญสิบ เรียกว่าคุณแทบจะไม่ยอมพกแบงก์เลย แสดงว่าคุณเป็นคนรักสนุก ร่ำรวยอารมณ์ขัน รักเพื่อน รักความถูกต้อง แม้ว่าจะดูเหมือนเด็กๆ ก็ตามเถอะ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่คุณจะมีเพื่อนฝูงมากมายที่นิยมในนิสัยใจคอที่ดีและจริงใจของคุณ

พกแต่บัตร

ไม่นิยมเงินสดถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบพกเงินสด แต่นิยมที่จะใช้จ่ายผ่านบัตรเครคิต หรือเดบิตอย่างเดียว แสดงว่าคุณเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง ชอบความทันสมัย และต้อง intrend ตลอดเวลา บางครั้งอาจจะฟอร์มจัดและชอบทำตัวเป็นจุดเด่นไปบ้าง แต่ข้อดีของคุณก็คือความขยันขันแข็งและรักความก้าวหน้า

วางเกลื่อนไปทุกที

ถ้านิสัยการเก็บเงินของคุณ คือ การวางไว้ทั่วบ้าน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน หัวนอน หรือตามซอกมุมต่าง แสดงว่าคุณเป็นคนเรียบง่าย และตามใจตัวเองอย่างสุดๆ จนเกือบจะเรียกว่ามักง่ายได้เลยแหล่ะ คุณพอใจที่จะหาความสุขให้กับตัวเองมากกว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ แม้บางครั้งอาจจะดูใจร้อนไปบ้างแต่คุณก็ไม่เป็นศัตรูกับใครนะ

ที่มา: mthai.com

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัยการเงิน



ตอนนี้ในประเทศญี่ปุ่นกำลังอินเทรนด์เรื่องกรุ๊ปเลือดสุด ๆ เพราะมันสามารถบอกได้ว่าแต่ละกรุ๊ปเลือดนั้นมีลักษณะบุคลิกและนิสัยเป็นแบบใด โดยเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ

ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีการรวบรวมสถิติเกี่ยวกับลักษณะคนประเภทต่าง ๆ โดยแยกแยะเป็นกรุ๊ปเลือดซึ่งจะเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่กำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ไว้ ซึ่งวันนี้เราจะมาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องการเงินในกระเป๋ากัน

กรุ๊ป A เป็นคนที่มีระเบียบในชีวิต มีความคิดเป็นระบบเหมือนลิ้นชัก มีความรับผิดชอบสูง และชอบคิดว่าเรื่องของคนอื่นคืองานของตนเอง ที่สำคัญติดหลงตัวเองนิด ๆ พอน่ารัก

นิสัยการเงิน กรุ๊ปเอเป็นกรุ๊ปที่เก็บเงินได้เก่ง มีเงินเหลือเล็กๆ น้อย ๆ ก็เอาเข้าบัญชี แต่ทว่าเมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้ก็มักจะเทออกมาหมดหน้าตักจนเกลี้ยงกระเป๋าเลยทีเดียว ที่สำคัญคนกรุ๊ปเอมักเชื่อว่าตนเองนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่บางทีทิฐิมานะควรเอาไปใช้ให้ถูกทางดีกว่า

นอกจากนั้น เวลาช้อปปิ้ง คนกรุ๊ปเอจะมีรสนิยมสูง นิยมของแบรนด์เนม แต่เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วก็มักมีแต่เสื้อผ้าที่เหมือน ๆ กันไปหมด

กรุ๊ป B สาวใสหัวใจศิลปิน เธอผู้นี้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทั้งปวง แม้ว่าจะตกลงไปเที่ยวกันอย่างดิบดีแล้ว เธอก็อาจจะไม่ไปเสียดื้อ ๆ ส่วนข้อดีของเธอคือการเป็นนักสร้างสรรค์ที่หาตัวจับยาก และพูดตรงจนใคร ๆ กลัวเชียวล่ะ

นิสัยการเงิน เนื่องจากเธอคนนี้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางครั้งก็ประหยัดจนไส้กิ่วแต่บางครั้งก็ซื้อของหรูหราได้อย่างไม่เสียดายเงิน เพราะเพียงว่าเธออยากได้แค่นั่นเอง และบางครั้งก็มักทำเรื่องผิดพลาดทางการเงินง่าย ๆ ประเภทเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย (เป็นประจำ) ส่วนใหญ่จะเก็บเงินได้ดียามที่มีกฏข้อบังคับ เช่น ฝากประจำ เล่นแชร์ เป็นต้น

กรุ๊ป O สาวคนนี้มีเพื่อนเยอะ มีความยืดหยุ่นสูงร่วมกับความโลเลบ้างในบางครั้ง ค่อนข้างจะถนอมน้ำใจคนอื่นๆ มากกว่าที่จะว่ากล่าวไปตรงๆ แต่เมื่อระเบิดแล้วใครๆ ก็ห้ามไม่อยู่

นิสัยการเงิน คนกรุ๊ปโอไม่โผงผางออกจะเป็นคนเรื่อยๆ มากกว่า ดังนั้น เรื่องการเงินจะค่อนข้างมีระเบียบวินัยกว่ากรุ๊ปอื่น ๆ แต่มักไปเสียเงินเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น หนังสือการ์ตูน กระเป๋าย่ามใบเล็ก ๆ หรือแม้แต่กิ๊บติดผม ที่สำคัญคนกรุ๊ปนี้มักมีเงินแอบเก็บก้อนโตไว้เสมอ จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงินทอง

กรุ๊ป AB เป็นสาวที่คิดอะไรไม่เหมือนใคร ชอบเอาตนเองไปผูกพันกับความรู้สึกของคนอื่น แต่มักสร้างเกราะกำบังตัวเอง ไม่ชอบเปิดใจให้แก่ใครนัก ทำให้คุณเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย

นิสัยการเงิน ด้วยลักษณะนิสัยที่เป็นคนคิดเยอะ เวลาใครชวนทำประกันชีวิตหรือกองทุนต่าง ๆ ก็มักปฏิเสธหรือไม่ให้คำตอบ แถมความคิดมากนั้นไม่ค่อยออกมาเป็นรูปธรรมสักเท่าไร มักคิดแล้วก็หลงลืมไปปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนั้น แต่กรุ๊ปเอบีบางคนก็เป็นสุดยอดในการหมุนเงินที่หาตัวจับยากทีเดียว
ที่มา : kapook.com

สูตรการคำนวณ : จะเก็บเงินกันเดือนละเท่าไรดีเพื่อเกษียณ

จะเก็บเงินกันเดือนละเท่าไรดีเพื่อเกษียณ
( เป็นโปรแกรมคำนวน)

http://goldpf.kasikornasset.com/simulate/saveplan.asp

กว่าจะเป็นโออิชิ ตัน ภาสกรนที


กว่าจะเป็นโออิชิตัน ภาสกรนที หรือที่บรรดาสื่อมวลชนจะถนัดเขียนถึงเขาว่า ตัน โออิชิ

เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน เริ่มต้นสร้างทุกอย่างจากจุดที่เรียกว่า...ศูนย์ ถึงแม้เส้นทางเดินบนถนนสายธุรกิจของเขาในวันนี้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ระดับที่เรียกว่าเป็นตำนานหาก

แต่ว่าเขาเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานขายของ แบกของ กินเงินเดือนไม่ถึงพันบาท สู่การบริหารงานธุรกิจระดับพันล้านในเครือโออิชิกรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน, โออิชิ, โออิชิ กรีนที, ฯลฯ โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจของเขาไม่ได้มีปริญญาด้านการตลาดจากสถาบันใดมาการันตี

แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่เป็นทั้งนักคิด นักถาม นักวางแผน นักการตลาด ที่ประสบความสำเร็จในถนนสายธุรกิจได้อย่างไม่เป็นรองใครจากพนักงานกินเงินเดือนไม่กี่ร้อย จนมีอาณาจักรภายใต้แบรนด์โออิชิ สู่ความเป็นมหาชน

ตัน ภาสกรนที บอกว่า...จุดเริ่มต้นของเขา คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้

ที่ผ่านมาเพิ่งมีกรณีข่าวเกี่ยวกับเครื่องดื่มโออิชิ กรีนทีที่ลูกค้าดื่มแล้วมีปัญหาเขาสรุปออกมาว่าชาเขียวที่มีปัญหาที่ลูกค้าซื้อไปเป็นกรดเกลือ ซึ่งเป็นกรดเกลือที่ในวงการอุตสาหกรรมอาหารไม่มีใครใช้ กระทรวงสาธารณสุขและ อย. เขาเข้าไป ตรวจแล้วไม่ได้อยู่ที่การผลิต แต่ทั้งหมดนี้เราคงไม่กล่าวโทษใคร เพราะเราไม่มีหลักฐาน และมันต้องใจเขาใจเรา

มีคำพูดว่าใน ‘วิกฤต’ บางทีก็มี ‘โอกาส’ครับ ผมมองในแง่ดีว่าการมีวิกฤตทำให้เราได้เห็นว่าเรามีลูกค้าเยอะแค่ไหน มีคนเข้ามาให้กำลังใจเยอะ ผมรับโทรศัพท์แทบจะไม่ไหว รับทั้งต่างประเทศ ต่างจังหวัด มีเจ้าของสินค้าที่เคยเจอวิกฤตแบบนี้โทร.มาให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ เขาเคยเจอเหมือนกันนะเมื่อปีนี้ ๆ เขาโทร.มาว่า เคยเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน แต่ผมหนักกว่าตรงที่สื่อสมัยนี้เร็ว หนังสือพิมพ์ลงแค่หนึ่งฉบับ ทีวี 3,5,7,9 อ่านครบทุกช่องเลย แล้วลงติดต่อกัน 3-4 วัน ถึงแม้อ่านหัวข่าวแล้วปรากฏว่าข้างในไม่มีอะไร บางทีอ่านแค่หัวข่าว ข้างในข่าวไม่ได้อ่าน แต่ทุกคนตกใจไปหมดแล้ว

กว่าที่คุณตันจะมาถึงจุดที่มีธุรกิจเป็นพันล้านแบบนี้ ชีวิตเริ่มจากศูนย์พอเรียนจบมศ.3 อายุ 17 ปี ผมตัดสินใจออกมาทำงานเลย ผมเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง และมีจิตใจอยากเป็นนักธุรกิจ ตอนเด็ก ๆ เห็นคนทำงานแล้วอยากไปทำ เวลาปิดเทอมผมจะไปทำงานช่วยเสิร์ฟบะหมี่ ไปช่วยเขาลวกบะหมี่ ไปขายเฉาก๊วย เลี้ยงไก่ยังเคยเลย มีญาติของเพื่อนเขาเลี้ยงไก่ เราก็ขอไปดูไปช่วย ชอบทำงาน มีความสุข ในการทำงาน ไม่เคยคิดว่าเหนื่อย ทำได้เรื่อย ๆ

ในวัย 17 ปี ก็ค่อนข้างคิดต่างจากวัยรุ่นทั่วไปแล้ว ซึ่งวัยเท่านี้ส่วนใหญ่กำลังเที่ยวเล่นเลยนะคะผมเป็นคนรูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่เก่ง ถ้าผมยังทำตัวเที่ยวเล่น วันนี้ผมก็แย่สิ สิ่งเดียวที่ผมมีคือต้องตั้งใจทำงานให้ดีกว่าคนอื่น...

ตอนผมอายุ 17 ปี ผมรู้สึกว่าสู้เพื่อนไม่ได้ แพ้เพื่อนเด็ดขาดเลย ผมบอกเพื่อนว่า ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกไปทำธุรกิจ อีก 10 ปีข้างหน้า ผมจะมาพบเพื่อน ๆ ใหม่ 10 ปียังไม่สาย เหมือนหนังจีนไหม ดูหนังมากไปหน่อย (ยิ้ม) แต่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พออีก 10 ปี ผมกลับไปหาเพื่อน ๆ ที่สนิทกัน เพื่อนที่ผมรู้สึกว่าตอนนั้นเราสู้เขาไม่ได้ เราเป็นบ๊วยอยู่คนเดียวกลับไปก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่นะ (หัวเราะ) บางคนเขามีธุรกิจใหญ่กว่าผม แต่ว่าผมดีกว่าเดิมเยอะ วันที่ผมกลับไป ผมไม่ใช่ที่หนึ่งแต่ผมไม่ได้บ๊วยแล้ว ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่อย่างน้อยถ้าวันนั้นผมไม่สู้ ผมไม่มีวันนี้

การที่ต้องทำมากกว่าคนอื่น ทำให้คุณตันผ่านการทำงานมาหลายอย่างการที่ไม่มีความรู้ทำให้ผมต้องทำทุกอย่าง ช่วงแรก ๆ ผมใช้แรงงานเป็นหลัก เป็นพนักงานแบกของ ส่งของ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว ทำเพราะถือว่าทำมากได้ประสบการณ์มาก

ผมเริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือน 700 บาท ทำงานส่งของ แบกของมาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้เป็นพนักงานขาย...พอผมออกจากการเป็นพนักงาน

ธุรกิจแรกที่ผมเริ่มเอง คือแผงขายหนังสือพิมพ์ ช่วงแรก ๆ เหนื่อย เพราะเราแลกด้วยเหงื่อ เราไม่มีทุน พอออกมาเปิดแผงขายหนังสือ ผมนำเงินไปซื้อหนังสือรอบแรก หมดตัวตั้งแต่ 5 หมื่นแรกเลย เพราะฝนตกหนังสือเปียกน้ำทั้งหมด เจ๊งตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดร้าน แต่ผมไม่ยอมแพ้ เอาใหม่

ผมอยู่ได้ด้วยการทำงานมากกว่าคนอื่น ร้านขายหนังสือซ้ายขวาขายหนังสือน้อยกว่าผมเยอะ เขาขาย 8 ชั่วโมง ผมขาย 18 ชั่วโมง เขาตื่น 7 โมงเช้า แต่ตี 5 ผมตื่นมาขายแล้ว คุณปิด 2 ทุ่ม ผมปิดตี 2 ปิดแค่ 3 ชั่วโมง ลูกค้ามาผมก็ขาย ลูกค้าไม่มาผมเดินไปหาลูกค้า...

หนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จผมต้องทำงานให้มากกว่าคนอื่น เพราะความสำเร็จไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าแล้วเราออกไปเก็บได้เพราะทำมากกว่าคนอื่น ทำให้เป็นเจ้าของธุรกิจได้เร็วผมเขยิบมาเปิดร้านกิ๊ฟช็อป ร้านกาแฟ ร้านอาหาร แล้วก็มาทำธุรกิจเรียลเอสเตท...กำลังจะมีเงิน 100-200 ล้านบาท พอรัฐบาลประกาศค่าเงินบาทลอยตัว กลายเป็นผมมีหนี้ร้อยกว่าล้าน ตายตอนปี 2539 แต่ผมพยายามแก้ปัญหา

ผมมีทั้งหนี้ธนาคารและหนี้นอกระบบ ค่อย ๆ แก้วิกฤต เจรจาประนอมหนี้ ค่อย ๆ ใช้หนี้ไป ผมเริ่มต้นใหม่ ผมว่าทุก ๆ ช่วงของชีวิตเหมือนฟ้าทดสอบเรา หรือถ้าพูดอีกแบบชีวิตมันมีวิกฤตอยู่ ว่าแต่จะเจอตอนไหน แล้วคุณจะยอมแพ้หรือเปล่า

ตอนเปิดโออิชิสาขาแรกคุณตันก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลังตอนเปิดโออิชิวันแรกผมซ่อมก๊อกน้ำอยู่ในห้องน้ำ จะเห็นว่า 2-3 ปีแรกผมไม่เคยออกข่าว เป็นคนที่ดูแลงานเบื้องหลังมากกว่า

คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เขาเล่าให้ฟังว่า เจอผมครั้งแรกเห็นผมใส่ขาสั้นเช็ดโต๊ะอยู่ในร้าน ตอนนี้ไม่มี เวลาไปทำแล้ว ถึงไปทำก็ไม่มีประโยชน์เพราะมีคนทำอยู่แล้ว แต่ผมต้องพร้อมที่จะทำได้ เราบอกว่าห้องน้ำเหม็นใช่ไหม เราชี้ให้คนอื่นทำ ถ้าเรายังรู้สึกรังเกียจ เราจะไปเรียกให้คนอื่นทำไม่ได้หรอก ถ้าเรากล้าที่จะล้างห้องน้ำ ไม่มีใครไม่กล้าไม่ทำหรอก สมัยก่อนผมจะทำบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ผมพร้อมจะทำ

ผมทำให้ได้ทุกวันนี้ยังเสียเหงื่อกับการทำงานเหมือนเมื่อ 20 ปี ที่แล้วไหมคะต่างกันครับ สมัยก่อนผมทำเอง มีลูกน้องไม่กี่คนแต่เดี๋ยวนี้เป็นมหาชน มีการบริหารที่เป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ผมยังต้องทำงานอยู่ แต่ว่าหน้าที่บางอย่างไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวนี้ทำงานเป็นทีมมากขึ้น ทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้น...

ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ ถ้าทำแบบนี้ไม่ดี เพราะไม่คล่องตัวหรือถ้าเป็นบริษัทใหญ่แล้วผมยังทำแบบเดิมที่เคยทำ ก็ไม่ดี เพราะเรารู้คนเดียว และไม่มีแผนงานรองรับ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้งานจะถูกวางแผนทั้งปี เงินจะเข้าบริษัทเท่าไหร่ แล้วเราจะใช้เท่าไหร่ จะมีกำไรเท่าไหร่ มีตัววัดผลทุก 1 เดือน ทุก 3 เดือน ทำตามแผนงาน ถ้าไม่ทำตามแผนก็แก้

ตัน ภาสกรนที คนเก่ากับคนปัจจุบัน ณ วันนี้ เปลี่ยน ไปมาก-น้อยแค่ไหนคะ

ตัวผมยังเหมือนเดิม แต่งานไม่เหมือนเดิม ถามว่าผมอยากเป็นคนเดิมไหม อยากครับ แต่มันเป็นไม่ได้แล้ว ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไหม คนเราจะมีชีวิตเหมือนเดิม ๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ชีวิตผมเปลี่ยนครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็นทุกอย่าง เพราะบางอย่างผมก็ไม่ได้อยากเป็น ผมไม่อยากเป็นคนดัง สมัยก่อนใส่ขาสั้น เดี๋ยวนี้ใส่ไม่ได้แล้ว ลูกน้องบอกว่าพี่ตันไม่ได้แล้วนะ เสื้อผ้าหยิบตัวไหนมาเถอะ มีแต่ลูกน้องซื้อให้ทั้งนั้น ผมชอบกินอาหารที่ขายริมถนน เดี๋ยวนี้พอไปกิน ลูกน้องก็จะบอกว่า... พี่ตัน อันตรายไปนั่งกินข้างถนนคนเดียว เดี๋ยวโดนเขาอุ้มหรอก

หรือผมไปลาว ไปจัดงานอีเวนท์ จะไปเดินงานวัด แต่ลูกน้องไม่ให้ไปเดิน ก็ผมอยากไปน่ะ ผมบอกผมจะไป ปรากฏไปเรียกตำรวจมาเฝ้าผมเลยนะซ้ายขวา โอ๊ย...อะไรของมันวะ ในตัวไม่ได้มีอะไร กระเป๋าก็ไม่มี มีนาฬิกาเรือนเดียว คือเป็นคนเดิมไม่ได้ คนรอบข้างไม่อยากให้เป็น เขาคิดมากกัน (ยิ้ม) เพราะเรามีความรับผิดชอบเยอะ

มีคำแนะนำอย่างไร กับประโยคที่บอกว่า...จุดเริ่มต้นของคุณตัน คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้

ผมเชื่อว่าคนเรามีโอกาสเหมือนกัน เพียงแต่มันจะมาหาเรา เมื่อไหร่ บางคนโชคดีตั้งแต่ปีแรก บางคนทำงานแป๊บเดียวก็ดี บางคนทำงาน 5 ปียังไม่ดี บางคนขยันและประหยัดมา 10 ปียังไม่เห็นผลเลย แต่มันอาจจะไปเห็นผลปีที่ 11 บางคนทำ 20 ปีจึงจะเห็นผล โอกาสจะมาหาเราเมื่อไหร่ ไม่รู้ แต่ถ้าวันหนึ่งโอกาสมาแล้วเราไม่พร้อม เราก็พลาดโอกาส หรือวันนี้อะไรก็ดี แต่คุณทำตัวเหลวไหล มันก็สายไปแล้ว ทุกคนต้องพร้อม ต้องมีความหวัง ความพยายามต้องใหญ่ ความทุ่มเทต้องเยอะ คิดแล้วต้องลงมือทำ มีคนทำแต่ไม่คิด อันนี้เจ๊งแหง ๆ หรือคิดแล้วไม่ได้ทำ แม้แต่คิดว่าจะประสบความสำเร็จมันยังไม่มีเลย ต้องคิดดีแล้วลงมือทำทันที


ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน มีขึ้นมีลง แต่ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว เวลาเจอปัญหาอย่าท้อแท้ ผมว่าทุกคนทำได้ผมเชื่อว่าไม่ว่าฟ้าจะผ่า ฟ้าจะร้อง สักวันหนึ่ง คุณก็ได้ดี เพราะหลาย ๆ ธุรกิจที่มีโอกาส ผมได้มาเพราะตรงนี้ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีนะ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นคนชั่ว หลายธุรกิจที่เขาให้โอกาสผม เขาเห็นว่าผมเป็นคนขยัน เป็นคนไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ก็เลยสนับสนุนผม ผมอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่าถึงคุณจะขยันมาก คุณจะเก่งมาก คุณจะพยายามมาก ที่สำคัญอย่าลืมเป็นคนดีด้วย เพราะคนดีวันหนึ่งจะมีความหมาย

คนเราทุกคนถ้าคุณถึงจุดจุดหนึ่งคุณอยากจะทำอะไรดี ๆ ถามว่าแล้วคุณจะทำให้กับใคร ก็ต้องอยากทำให้กับคนดี ๆ ถามผมว่าผมอยากจะช่วยเหลือใคร ผมก็ต้องอยากช่วยเหลือ คนดี ๆ ใครจะไปอยากช่วยเหลือคนที่มันไม่ดี

เราย้อนกลับไปเปิดหนังสือ ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน ที่ถือไปให้เจ้าของเรื่องราวได้เซ็นชื่อให้ เหนือลายเซ็นของเขา ข้อความ นั้นเขียนไว้ว่า...ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้อย่างที่เขาเอ่ยกับเราว่า...

แท้จริงแล้วทุกคนมีต้นทุน อยู่ในตัว ตัน ภาสกรนที จึงเป็นอีกหนึ่งชีวิตของคนสู้งาน ที่ยืนยันว่าความสำเร็จไม่ได้หล่นจากฟ้า แต่มาจากสมอง สองมือ และหนึ่งใจที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของตัวเราเอง...ที่เกิดกับใครก็ได้

วิกฤติ คือ โอกาส คุณตัน โออิชิ


วันนี้น้ำมันขึ้นราคา อะไรขึ้นราคา แต่ว่าดิฉันชอบมากๆ" คือวลีโตๆจากปาก "ตัน โออิชิ" - ตัน ภาสกรนที ประธานบริหารโออิชิกรุ๊ป ในวันที่ไปพูดให้ลูกค้าแบงก์กสิกรไทยฟัง เมื่อเร็วๆ นี้

วันนั้น บางคนฟังแล้วอึ้ง บางคนฟังแล้วทึ่ง แต่ทุกคนตั้งใจฟังต่อ ว่าตันจะขยายความอย่างไร

"วันนี้ ธุรกิจแข่งขันกัน แล้วธุรกิจใหม่เกิดขึ้นทุกวัน วิกฤตมาตลอดเป็นระลอกๆ แต่สำหรับผม วิกฤต คือ โอกาส วันนี้น้ำมันขึ้นราคา อะไรขึ้นราคา แต่ว่าผมชอบมากๆ พอน้ำมันขึ้นราคา เงินเดือนขึ้นราคา อะไรขึ้นปุ๊บ จะมีคู่แข่งบางพวกมันตายก่อน โดยที่ผมไม่ต้องทำอะไร พวกไหน นั่นคือ พวกท้อแท้ ยังไม่ทันไรตายแล้ว สู้เขาไม่ได้ ยอมแพ้ไป งั้นผมไม่ต้องสู้ไม่ต้องทำอะไรเลย มันตายก่อนแล้วครึ่งหนึ่ง

การที่น้ำมันจะขึ้น อย่าไปกลัว กลัวอย่างเดียวคือ สิ่งเหล่านั้นเกิดกับเราคนเดียว ถ้าสิ่งเหล่านั้นเกิดกับคนทั่วโลก มันเป็นผลดีกับเรา ถ้าคุณคิดเป็น ยืนยันได้เลย เป็นผลดี ต้นทุนจะเพิ่มเท่าไหร่ ต้นทุนของเราก็จะลดได้จากความกดดัน ผมชอบเลย ปัญหา"

ตันบอกว่า เรื่องต้นทุนขึ้น มันเป็นปัญหาจริง แต่ปัญหาก็เป็นทั้งวิกฤต ถ้าไม่คิด หรือคิดไม่ออกว่า จะต้องทำอะไร และปัญหาก็เป็นทั้งโอกาส ถ้าคิด และคิดออกว่าจะต้องทำอะไร พร้อมยก 3 ประสบการณ์จริงของโออิชิกรุ๊ปเอง ขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา

"เมื่อ 2 วันก่อนผมไปประชุมที่บริษัทมา เชื่อไหมว่าน้ำมันแพง ทำให้เราคิด เพราะมันเป็นปัญหา ค่าขนส่งแพงขึ้น โรงงานผมมีรถคอนเทนเนอร์ เทรลเลอร์ 50 คัน คันหนึ่งขนได้ 20 เพลเลต เพลเลตหนึ่งซ้อนได้ 8 ชั้น ชั้นหนึ่งเรียงได้ 8 ลัง ถ้าคิดเป็นลัง ลังหนึ่งค่าขน ส่ง 3 บาท น้ำมันขึ้นกลายเป็น 4 บาท อยู่ไม่ได้แน่ แล้วทำไมเราต้องเรียงแบบนี้ เรียงแบบนี้มาทุกอุตสาหกรรม ทุกโรงงาน เรียงแบบนี้มา 50 ปี

ผมก็ไม่รู้ว่า ทำไมต้องเรียงแบบนี้ ถามผู้จัดการที่โน่นว่า ทำไมต้องเรียงแบบนี้ เขาก็บอกว่าที่นู่น ที่นี่เขาก็เรียงแบบนี้

วันนี้น้ำมันแพงทำอย่างไร เรียงใหม่ได้ไหม เรียงไปเรียงมาได้ 9 ลัง เพิ่มมาได้ 1 ลังต่อชั้น คันหนึ่ง 8 ชั้น 8 ลัง ทั้งหมด 20 พาเลต คุณคูณเข้าไปสิ เรียงหนักกว่านั้น ทำไมต้อง 8 ชั้น ลองดู 9 ชั้นได้ไหม ได้สิ ถ้าสินค้าเราไม่หนัก ถ้าน้ำหนักไม่เกิน ก็เรียงได้ บังเอิญสินค้าของผมไม่หนัก 9 ชั้นก็เรียงได้ ผมเรียงใหม่ เพิ่มอีก 1 ชั้น น้ำมันขึ้น 3 เท่า ค่าขนส่งผมยังถูกกว่าตอนน้ำมันไม่ขึ้นเลย"

เช่นเดียวกับค่าแรงขึ้น มันเป็นปัญหาแน่ แต่ตันย้ำว่า ถ้านำปัญหามาคิด และคิดออก ก็จะเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนค่าแรง และจะกลายเป็นความยั่งยืนของธุรกิจ

"พวกเราอย่าเพิ่งสิ้นหวังนะ ผมเล่าให้ฟังสดๆ ร้อนเลย ตอนนี้ค่าแรงเพิ่ม ทุกอย่างก็เพิ่มขึ้น

สองวันก่อนผมประชุมที่โรงงาน เขาเล่าให้ฟัง ค่าแรงกลับลดไปหลายสิบล้าน เกือบเป็นร้อยล้านบาทด้วยซ้ำไป ที่จะลดได้จากตัวนี้ จากปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หากเราเกิดปัญหา ให้ทุกคนคิดดู ยกตัวอย่างแซนวิช จาก 30 คน ทำ 20,000 ชิ้น เหลือ 10 คนทำ 20,000 ชิ้น ทำแล้ว ท่านบอกว่าขี้โม้ โอ้ย! ทำง่ายมาก ถ้าไม่เชื่อผม ผมจะพาคุณไปชม ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ พาไปได้

เดิมทำแซนวิช ทำยังไง คนหนึ่งตัดแซนวิช คนหนึ่งทาเนย พูดสั้นๆให้เห็นภาพนะ อีกคนหนึ่งทาแยม อีกคนใส่ชีส อีกคนใส่แฮม

จริงๆ เนื้องานทั้งหมด คือ ทาเนย ทาแยม แต่ที่เหลือก็คือหยิบขึ้นหยิบลง ๆ สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดมูลค่าเพิ่มเลย มีแต่ซ้ำซ้อน

คิดใหม่ คือ คนที่ยกขึ้นมาเนี่ย หยิบแซนวิชขึ้นมา หยิบขนมปังขึ้นมา มันยิ่งกว่านี้อีก เนยกับแยมรวมกันได้ไหม เนยกับมายองเนสรวมกันได้ไหม ก็แปลว่ารวมได้ ผสมกันแล้วเราก็ทาทีเดียว ใส่แฮมแล้วใส่ชีสเข้าไปด้วยได้ไหม ผมว่าเนื้องานที่สูญเสียมันคือ ยกขึ้นยกลงๆ แค่นี้หายไป 20 คน กระบวนการผลิตเท่าเดิม ลดต้นทุนแล้วใช่ไหม

ตอนนี้ต้นทุนมันขึ้น ค่าแรงมันขึ้น น้ำมันมันขึ้น คุณคิดออกไหม คิดไม่ออก พอมีวิกฤตมา ไม่คิดก็เจ๊ง ถ้าคิดไม่ออกก็เจ๊ง ไอ้ที่เราคิดออกมาได้ มันทำให้เราอยู่รอด ทุกอย่างเลย"ตันยังยกอีก ประสบการณ์จริงของโออิชิกรุ๊ปขึ้นมาขยายความในวันนั้น เพื่อชี้ว่า ปัญหาใหญ่ของธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องต้นทุน แต่อยู่ที่การไม่คิดหรือคิดไม่ออก

"ผมจะยกอีกตัวอย่าง เวลาเราติด label ชาเขียวแต่ละแพ็ค ต้องติดสติ๊กเกอร์ ใช้คนติด 20 คนต่อวัน เราบอกไม่ไหวนะ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

มีคนหนึ่งเสนอมา ต้องให้รางวัลเขาเลย เขาเสนอว่า แล้วทำไมเราต้องติด label เล่า เราก็เอา label ไปพิมพ์ใส่พลาสติกที่แพ็คชาเขียวซิ ตอนนี้ไม่ต้องใช้คนสักคนเดียว แค่คุณคิดนิดเดียว ก็คือ พิมพ์ label ในพลาสติกนั่นแหละ

แล้วทำไมเพิ่งมาคิดได้วันนี้ ก็เพราะวันนี้มีวิกฤต เห็นใช่ไหม ท่านอาจจะดีอยู่แล้วนะท่านอาจได้กำไรแล้ว แต่ถ้าท่านไม่ทำ กำไรมันก็จะลดลงๆ แล้วก็ขาดทุน แล้วก็เจ๊งในที่สุด แต่ท่านทำ ค่าใช้จ่ายมันก็จะลดลง ถ้าท่านแข่งกับใคร ค่าเช่าจะเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น ท่านก็มีทางออก เราต้องไม่ยอมแพ้ จงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี

มีหลายอย่างในธุรกิจของเรา เราไม่ได้ไปสำรวจ เพราะเราเคยชิน บางอย่างเราไม่น่าจะทำ เราก็ทำ ไอ้ที่ว่าดีที่เราทำอยู่ ดีของเมื่อวาน วันนี้อาจจะไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นผมอยากให้ท่านสำรวจ

ผมพูดเสมอว่า จากนี้ไปไม่มีอะไรไม่แพงเลย อย่ารอน้ำมันลด อย่ารอเศรษฐกิจดีเด็ดขาด ไม่มีแล้ว โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยู่รอดคือ คนที่เปลี่ยนแปลงแล้วก็แข็งแกร่งเท่านั้น คนที่ตายไปคือ คนที่อยู่เหมือนเดิมแล้วก็อ่อนแอ ยอมแพ้ เพราะฉะนั้น คุณจะอยู่ได้หรือไม่ น้ำมันขึ้น ข้าวขึ้น กลับกันราคาขายบางอย่างอาจจะลดด้วยซ้ำ พืชเกษตรอะไรพวกนี้อาจจะขึ้น ของที่ท่านขายบางส่วน ท่านเชื่อไหมว่าอาจต้องลดราคา

ยกตัวอย่างว่า วันนี้ผมจะขึ้นราคาชาเขียว มีโอกาสไหม ไม่ต้องคิดเลย ไม่ลดราคาก็บุญแล้ว เหมือนกับท่านขายสินค้าอยู่ ยกเว้นสินค้าของท่านอยู่ในเทรนด์ที่สามารถขึ้นราคาได้ แต่ก็อย่าดีใจนะ วันนี้ข้าวแพงเป็น 1,200 เหรียญต่อตัน เดี๋ยวมันก็อาจลดลงมา แต่ถ้าท่านสามารถลดราคา หรือลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสินค้าของท่านให้มันทันต่อเหตุการณ์ ท่านจะอยู่ได้"

ทั้งหมดนี้ คือ ข้อคิดที่สังเคราะห์จากประสบการณ์จริงของตัวจริง "ตัน โออิชิ"

มีคุณค่ายิ่งสำหรับผู้ประกอบการยุคนี้ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาต้นทุนแพง


*****************************

เทคนิคกู้แบงก์

ท่านถามผมว่า การเปลี่ยนธุรกิจไปทำแนวอื่นๆ ถ้าเราต้องใช้เงินจากแบงก์ บางทีแบงก์ก็ไม่ค่อย Support เราเท่าไหร่ จะทำอย่างไรดี "แบงก์นะ ไม่สนใจธุรกิจหรอก แบงก์สนใจดอกเบี้ย การทำให้แบงก์เชื่อได้ อันนั้นสำคัญกว่า ธุรกิจไม่เกี่ยว ถ้าผมเป็นแบงก์ ผมก็จะถามคุณว่า คุณจะมีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยผมได้อย่างไร ถ้าเป็นเรื่องเปลี่ยนธุรกิจ ผมเปลี่ยนธุรกิจตลอดชีวิต ตั้งแต่วันแรกที่ผมทำมาถึงวันนี้เปลี่ยนหมดเลย เพียงแต่เราสามารถ Present ให้แบงก์เห็นไหมว่าเราดี เราทำได้ นั่นคือ ส่วนหนึ่งต้องมาจากประสบการณ์ ข้อมูล ความสามารถส่วนตัว เน้นมากๆ คือ ประสบการณ์"

******************************

อย่าลงทุนกับสินค้าอินเทรนด์

"ท่านถามผมว่า คุณตันรู้ได้อย่างไรว่า อะไรน่าลงทุน อย่างกาแฟสดใส่ขวด (Coffio ที่โออิชิเพิ่งเปิดตัว) คุณตันไม่เคยทำ แล้วคุณตันรู้ได้อย่างไรว่า น่าลงทุน น่าเสี่ยง ทั้งๆที่คู่แข่งเยอะ

เวลามองธุรกิจต้องมีการเรียนรู้ คือผมจะมองสิ่งไหน สินค้าไหนกำลังอินเทรนด์ อย่าแห่ทำตาม เพราะแสดงว่าสิ่งนั้นกำลังจะ Out เราต้องเดินก่อนคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ อันนี้คือ สำคัญมาก

แต่การจะเดินก่อนหน้าคนอื่นหนึ่งก้าวจะรู้ได้อย่างไร อันนี้สิยาก พูดง่ายทำยาก เพราะฉะนั้นเราจะรู้ได้อย่างไร เราต้องเป็นคนที่หมั่นเรียนรู้ หมั่นดู จับตลาดให้เห็น แล้วก็ดูเวลาและโอกาสให้เหมาะสม

ผมยกตัวอย่าง ทำไมน่าทำ คือว่า กาแฟไทยในตลาดประมาณ 20,000 กว่าล้าน กาแฟสด 80% อินสแตนท์อีก 20% กาแฟทั้ง 2 อย่างมันมีความแตกต่างกัน ทั้งความหอมหวานต่างกัน

เมื่อไหร่ที่คุณหันมากินสตาร์บัคส์ แล้วคุณกลับไปกินอินสแตนท์ไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้นกาแฟสดใส่ขวดคือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อุปสรรคเต็มไปหมดเลย

ถามว่าเกิดไหม ยาก แต่ตลาดมาไหม ตลาดมาแน่ๆ แต่ผมอาจจะมาเร็วนิดนึง ก็จะมีความเสี่ยงนิดนึง ถ้าคุณเพิ่งจะเริ่มมาทำตอนที่ตลาดมา กำลังอินเทรนด์ มันก็ช้าไปแล้ว เพราะมันมาแล้ว มันก็จะ Out"

***************************************

คิดไม่เป็น...เจ๊งแน่

"พูดถึงธุรกิจร้านถ่ายรูปแต่งงาน ผมอยากจะยกตัวอย่างของคนทำธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลง

มีอยู่คนหนึ่งเขาบอกผมว่า เนี่ยคุณตัน หนูจะเปิดร้านที่โคราชนะ 4 ห้อง ตกแต่ง 4 ชั้น

ผมถามว่าทำไมต้อง 4 ห้อง

เขาตอบว่าแม่หนูมี 4 ห้อง ห้องแถว

แล้วถ้ามีหนูมี 10 ห้อง หนูไม่ต้องไปแต่งทั้ง 10 ห้องหรอกหรือ ผมถามว่า คุณคาดว่ายอดขายเท่าไหร่

ถ้าได้ล้านบาท หนูว่าก็เลิศแล้ว

ล้านนึงห้องเดียวก็พอแล้ว หนูรู้ไหมว่า 4 ห้อง 4 ชั้น ต้องใช้เงินตกแต่งสักกี่ล้าน แต่ยอดขายคุณบอกว่าแค่ล้านเดียว จริงๆ ห้องๆ เดียวถ่ายรูปแต่งงานเนี่ย ยอดขายต้องอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท หรือล้านนึงก็ไม่ควรต่ำกว่านั้น เป้าหมายอยู่ที่ล้านนึง ก็ไม่ควรเกินนั้น เต็มที่ 2 ห้อง แต่งแค่ชั้นเดียวก็พอแล้วนะ เล่นเอา 4 ห้อง 4 ชั้น โห! ดีนะที่ผมเบรคเขาทัน เพราะอะไร เขายึดสิ่งที่เขามี แม่มีตังค์ทำไปเหอะ แต่มันไม่เกิดประโยชน์อะไร

แล้วมี 4 ชั้น อะไรรู้ไหม ดูแบบแล้ว โห! ข้างบนมีห้องผู้จัดการ ห้องผู้จัดการมีโต๊ะ โซฟา

เชื่อไหมอีกหน่อย พนักงานจะอยู่แต่ข้างบนจะหลับกันหมดเลย ไม่มีใครอยู่ข้างล่าง"

********************************************

โลกเปลี่ยน...ต้องคิดใหม่

"วันนี้ธุรกิจเปลี่ยนแล้วนะ

ยกตัวอย่างคุณขายกุ้ง คุณอย่าเอากุ้งมาขายผม ขายไม่ได้หรอก ผมไม่มีนโยบายนะครับว่า ถ้าคุณขายกุ้งถูกกว่าเจ้าที่ผมซื้อ ผมจะซื้อคุณ ไม่ใช่นะครับ คุณเสนอราคาถูกกว่า ผมก็จะไปบอกเจ้าที่ผมซื้ออยู่ นาย ก. ขาย 50 คุณขาย 51 คุณลดได้ไหม เขาก็ลด คุณก็ขายไม่ได้

แต่ถ้าคุณเสนอกุ้ง พร้อมสูตรอาหารที่ผมกินแล้ว โห! อร่อยมาก ถ้าผมมาใส่ในไส้เกี๊ยวซ่าผมเนี่ย ผมรวยแน่ งั้นที่ผมต้องการไม่ใช่กุ้ง ผมอยากได้สูตรพร้อมกุ้งต่างหาก ครั้นผมจะเอาแต่สูตรอย่างเดียว มันก็ไม่ได้หรอกนะ ผมก็ต้องซื้อกุ้งเพื่อเอาสูตรกุ้ง

ฉะนั้น วันนี้คุณต้องเปลี่ยนความคิดแล้วนะว่า คุณจะขายอะไร อย่าขายเหมือนเดิมๆ ที่คุณเคยขายอยู่ ขายมา 50 ปี ก็ยังจะขายอีก ไม่ใช่นะครับ

วันนี้ขายของต้องคิดธุรกิจให้เขาด้วย"

CEO นิ้วก้อย airasia


อ่านแล้วรู้สึกมีความหวังนะ เลยส่งให้ได้อ่านด้วยกัน
มันเป็นเรื่องของทัศนคติ และ มุมมอง ล้วนๆ พร้อมกับข้อคิดน่ารักๆ ที่พออ่านไปแล้ว ก็ " เออ...จริง "

บนโลกใบนี้ มีอะไรในอะไรอยู่เสมอ...โอกาส กับ วิกฤติ เค้าเป็นเงาตามตัวกันอยู่
ขอให้เพื่อนทุกคน มีความสุขกับทุกคืนวันในชีวิต มีภาพจำดีๆ เก็บไว้ให้นึกถึง....
ชีวิตมันไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่ เรื่องร้ายๆมันจะกล้าอยู่ นานได้ยังไง

เมื่อมีความคิดดีๆ สิ่งดีๆจะตามมา โชคดีนะ

CEO นิ้วก้อย

ทันทีที่อ่านหนังสือ a day BULLETIN เล่มใหม่จบ สิ่งแรกที่คิดก็คือ ต้องเขียนถึงคนคนนี้ "ทัศพล แบเลเว็ลด์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ "CEO" ของ "ไทยแอร์เอเชีย" สายการบินต้นทุนต่ำรายแรกของเมืองไทย

หนังสือ a day BULLETIN เป็นหนังสือแจกฟรีของค่าย a day ที่ฮิตและฮอตจนต้องเปิดรับสมาชิก จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ บทสัมภาษณ์ อย่างบทสัมภาษณ์ "ทัศพล" เล่มนี้

"ทัศพล" เป็นอดีตกรรมการผู้จัดการ "วอร์เนอร์ มิวสิค" ก่อนจะมารับตำแหน่ง CEO ของ "ไทยแอร์เอเชีย" ที่เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ป เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน มีทัศนคติทางบวก

วันที่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องบินของไทยแอร์เอเชียจอดอยู่ 10 กว่าลำ ในขณะที่คนอื่นกำลังทุกข์ เขากลับคิดในแง่ดีและมีอารมณ์ขัน "เครื่องบินของคนอื่นเขาก็จอดอยู่เหมือนกัน" เป็นความคิดแบบ "เฉลี่ยทุกข์" เราทุกข์ เขาก็ทุกข์

หรือเมื่อมีคนถามว่า เชื่อหรือไม่ว่า ทุกปัญหาที่มีทางออก "ทศพล" บอกว่าที่มีคนบอกว่ามืด 8 ด้าน แสดงว่าด้านที่ 9 ต้องมีทางออก "ไม่มีปัญหาอะไรในโลกนี้ที่ไม่มีทางออก เพียงแต่ออกไปแล้วจะบาดเจ็บหรือเปล่า แต่บาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างก็ดีกว่าตายไปเลย"

นอกจากอารมณ์ขันและทัศนคติทางบวกแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ "ทัศพล" CEO ของสายการบินต้นทุนต่ำมี นั่นคือ "ลูกบ้า" ลูกบ้า "ต้นทุนสูง"

วันที่ "ทัศพล" รับตำแหน่ง CEO บริษัทไทยแอร์เอเชีย มี "แอร์เอเชีย" ของมาเลเซียถือหุ้น 49% บริษัทเอเชียเอวิเอชั่น ของชินคอร์ปถือหุ้น 50% อีก 1% เป็นของ "ทัศพล"

แต่พอ "ชินคอร์ป" ขายหุ้นให้กับ "เทมาเส็ก" "ทัศพล" สัมผัสได้ถึง "ความไม่แน่นอน" เพราะ "เทมาเส็ก" นั้น สนใจเฉพาะบริษัทด้านโทรคมนาคม ส่วนธุรกิจสายการบินหรือการเงินอย่างแคปิตอล โอเค ซึ่งอยู่นอกสายธุรกิจหลัก มีโอกาสมากที่ "เทมาเส็ก" จะขายทิ้ง

สภาพเช่นนี้ทำให้พนักงานขวัญหนีดีฝ่อ มาทำงานด้วยสีหน้าที่เป็นทุกข์เพราะไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง "ทัศพล" รู้สึก ว่าเขาต้องรับผิดชอบต่อพนักงาน 1,200 คน หลายคนเขาเป็นคนชวนให้มาทำงานที่นี่โดยวาดภาพว่าบริษัทนี้อนาคตสดใส

"ถ้าวันหนึ่งผมไปบอกคนเหล่านั้นว่า โอเค...เราปิดบริษัทแล้วนะ โชคดีนะ บางทีผมอาจมองหน้าพวกเขาไม่ติดอีกเลยก็ได้ มันเป็นเรื่องที่คาใจกันไปทั้งชีวิตนี้ และชีวิตหน้า โลกหน้า...ผมคิดว่ามันไม่แฟร์สำหรับพนักงานพวกนี้"

"ทัศพล" ตัดสินใจนัดคุยกับผู้บริหารที่ร่วมบุกเบิกมาด้วยกัน 5 คน
"พรอนันต์ เกิดประเสริฐ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน
"น.อ.ธนภัทร งามปลั่ง" ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการการบิน
"ปรีชญา รัศมีธานินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม
"ม.ล.บวรนวเทพ เทวกุล" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
และ "สันติสุข คล่องใช้ยา" ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์


เขาชวนทั้ง 5 คนไปกินข้าวกลางวันที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ก่อนปิดห้องประชุม "ทัศพล" เล่าถึงแนวคิดในการแก้ปัญหาความอึมครึมในบริษัท เมื่อ "เทมาเส็ก" จะขายหุ้นไทยแอร์เอเชีย แทนที่จะต้องมาลุ้นว่าขายได้-ไม่ได้ หรือจะขายให้ใคร ทำไมเราไม่ซื้อหุ้นจาก "เทมาเส็ก" เอง เปลี่ยนสถานะตัวเองจากพนักงาน เป็น "ผู้ถือหุ้น"และ "ลูกหนี้"

"ผมบอกทุกคนว่าคิดดูให้ดีนะว่าจะเอาหรือไม่เอา แล้วผมก็ส่งกระดาษชิ้นเล็กๆ ให้ทุกคนเพื่อให้เขียนว่า เอาหรือไม่เอา แค่นั้น ใครจะไม่เอาก็ไม่ว่ากัน ไม่มีการกดดันใครไม่เอาก็ยังจะทำงานด้วยกันเหมือนเดิม"

บนกระดาษชิ้นเล็กๆ ทุกใบ เขียนคำเดียวกัน "เอา"

จากนั้นกระบวนการกู้เงินก็เริ่มขึ้น ทุกคนต้องเอาบ้าน และรถมาจำนองแบงก์เพิ่ม นอกเหนือจากหุ้นไทยแอร์เอเชีย มูลค่าทั้งหมดพันกว่าล้านบาท

วันที่ผู้บริหารทั้ง 6 คนเซ็นสัญญากับแบงก์ และโอนเงินให้เทมาเส็ก "ทัศพล" เรียกประชุมทุกคนในบริษัทที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ ตอนหกโมงเย็น เขาประกาศว่าวันนี้ทุกคนมีงานทำต่อ เพราะผู้บริหาร 6 คนได้กู้เงินมาซื้อหุ้นคืนแล้ว พนักงานทุกคนเฮกันลั่นห้อง "ตอนนั้นผมรู้สึกเลยว่า เฮ้อ กูเป็นไทแก่ตัวแล้ว แต่จะเป็นหนี้ต่อไป"

บรรยากาศในบริษัทเปลี่ยนไปทันที ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส และให้ใจกับบริษัทเต็มที่
ตอนน้ำมันแพง พนักงานบางคนส่งเมลมาบอกว่าเธอเป็นพนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่รู้จะช่วยบริษัทอย่างไร "หนูขอไม่เบิกค่าใช้จ่ายที่หนูเบิกได้ ยกเว้นค่าโอทีและเบี้ยเลี้ยง"

จนถึงวันนี้ "ทัศพล" ยืนยันว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่ซื้อหุ้นจากเทมาเส็ก "ผมไม่เคยคาใจอีกเลยว่า กูไม่น่าทำเลย "

"ทัศพล" เป็น CEO ที่ให้เบอร์โทรศัพท์ของเขากับพนักงานทุกคน มีปัญหาโทร. มาได้ทันที เพราะ CEO ในความหมายของเขาไม่เหมือนกัน

"CEO แปลตามแบบของผม อ่านว่า "เสี่ยว"

"เสี่ยว" ในภาษาอีสานแปลว่า "เพื่อนรัก"

"CEO คือ คนที่จะต้องทำตัวให้เป็นที่รักของทุกคน โดยเฉพาะคนในองค์กรของเรา พอคนรักกันมันก็มีใจทำงานให้กัน"

CEO ที่ดีไม่ใช่คนที่ชี้นิ้วสั่ง

สำหรับเขา "นิ้วชี้" ห้ามใช้

ให้ใช้ "นิ้วก้อย" ที่แปลว่าเราดีๆ กันนะ

ที่สำคัญห้ามใช้ "นิ้วโป้ง" ...ห้ามโกรธกัน

*****************************************

เคล็ดลับเก็บเงินได้มากขึ้น



เห็นจั่วเรื่องแล้ว คุณผู้อ่านคงแอบงงปนสงสัยกันอยู่ใช่มั้ยล่ะค่ะว่า ในยุคน้ำมันแพง ค่าแรงไม่พอใช้แบบนี้ เรื่องเงินออมนั้น คงทำได้ยากกกก ถึงยากที่สุด เพราะไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แล้วยังมีหนี้บัตรเครดิต ค่างวดโทรศัพท์มือถือ และข้าวของอีกมากมายก่ายกองที่เป็นภาระทุกเดือนๆ ชวนให้ปวดหัว แต่วันนี้ค่ะเรามีกลเม็ดการออมที่ คุณมัทยา ดีจริงจริง เจ้าของหนังสือขายดี "ออมน้อยก็รวยได้" แนะนำไว้เกี่ยวกับแนวคิดและวิถีการออมของโลกตะวันตก ซึ่งหากลองอ่านดูจะเห็นว่าหลายๆ วิธีก็ใช้ได้กับโลกตะวันออกได้เหมือนกัน …ไม่เชื่อลองอ่านดูค่ะ

1. ส่วนหนึ่งของเงินเดือนที่ได้รับ จะมากจะน้อยให้นำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารทุกๆ เดือน แล้วอย่าไปยุ่งกับบัญชีนั้นเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องถอนเงินส่วนนี้ ให้ถือว่ากำลังกู้เงิน เวลาคืนต้องคืนทั้งต้นทั้งดอก


2. เก็บเหรียญทั้งหลายลงกระปุก เปิดอีกบัญชีสำหรับเงินหยอดกระปุก อย่าดูถูกการสะสมเงินเล็กเงินน้อย จากก้อนเล็กๆ เติบโตกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคตได้เชียวนะ


3. เก็บเงินคืนที่ได้รับจากเรื่องต่างๆ เข้าบัญชีธนาคาร เช่น เงินคืนตามโปรโมชั่นการซื้อสินค้า เงินคืนเบี้ยประกัน รายได้เบี้ยใบ้รายทางต่างๆ ให้รวมเป็นบัญชีเดียว แล้วทำบัญชีไว้ คุณจะได้รู้ว่า ณ สิ้นปีรายรับที่ได้จากเงินคืนพวกนี้มันมากขนาดไหน รายรับพวกนี้เป็นรายรับไม่ต้องเสียภาษี น่าเสียดายที่จะใช้ทิ้งๆ ขว้างๆ


4. จ่ายเงินค่างวดผ่อนสิ่งของต่างๆ ที่ผ่อนหมดแล้ว เข้าบัญชีตัวเองด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม วิธีนี้คุณไม่ต้องเดือดร้อน เพราะคุณเคยชินกับภาระการผ่อนนั้นๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขว่าคุณไม่มีภาระผ่อนอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีกนะ


5. หยุดนิสัยฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ตัดทิ้งให้หมด ทำรายการขึ้นมาว่าต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง หลายคนแปลกใจว่ายิ่งคิดยิ่งตัดได้เรื่อยๆ


6. เพิ่มผลตอบแทนการลงทุน ไม่ควรยอมรับผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำ เงินออมที่มีอยู่ควรไปสร้างเงินต่อด้วยการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลในการรับความเสี่ยงด้วย


7. เป็นสมาชิกสหกรณ์ เป็นวิธีง่ายสุดของการออมเงิน พร้อมทั้งเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอีกต่างหาก


8. ซื้อพันธบัตรรัฐบาล สำหรับประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการออกพันธบัตรประเภทต่างๆ ให้ผู้สนใจ ถ้าสนใจเข้าไปดูที่ http://www.bot.or.th/ การจำหน่ายพันธบัตรให้กับประชาชน สิ่งที่ต้องดูคือประเภทพันธบัตร อัตราดอกเบี้ย และวันจ่ายดอกเบี้ย


9. ใช้ประโยชน์จากการโอนเงินบัญชีธนาคาร เมื่อเงินเดือนถูกนำฝากเข้าในบัญชีของคุณแล้ว คุณควรให้มันอยู่ในบัญชีธนาคารให้นานที่สุด (ฮา)


10. เข้าร่วมแผนออมเงินของบริษัท แผนการออมของบริษัทเป็นแผนออมเงินแบบปลอดภาษี และนายจ้างช่วยจ่ายสมทบ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับลูกจ้าง
11. ใช้การเสียภาษีให้เป็นประโยชน์ เรียนรู้เรื่องภาษี ประโยชน์ที่คุณไม่ควรเสียและประโยชน์ที่คุณควรได้ (เรื่องลดหย่อนนั่นเอง)


12. เข้าโครงการออมเงินที่น่าสนใจ เปิดหูเปิดตาให้กว้าง อาจมีโปรแกรมออมที่นึกไม่ถึง


13. ส้มหล่น อย่าเพิ่งกินหมดในคราวเดียว เงินก้อนใหญ่ไม่มาบ่อยครั้ง เช่น มรดก รางวัลเกมโชว์ ลอตเตอรี่ เงินปันผลกองทุน ฯลฯ เงินก้อนนี้ควรนำไปใช้ในการออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ ทั้งนี้ อย่าลืมปรึกษามืออาชีพด้านภาษีด้วย


14. รัดเข็ดขัดชั่วคราว อยากได้อะไรมากๆ ลองรัดเข็มขัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ เพื่อออมเงินให้มากกว่าปกติ เก็บเงินได้เท่าราคาของ แล้วจึงค่อยกลับสู่การดำเนินชีวิตปกติ
15. ฝากเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคล เพื่อการเกษียณอายุสัปดาห์ละครั้ง ในต่างประเทศนิยมมาก มีการทำบัญชีฝากสะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียว สำหรับเมืองไทยมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งนายจ้างจ่ายสมทบให้


16. ให้นำเงินเดือนส่วนที่เพิ่มไปฝาก ถ้ารับเงินเป็นรายสัปดาห์หรือราย 2 สัปดาห์ อาจเป็นได้ว่าบางเดือนคุณจะได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ เช่น ถ้าได้รับเงินเป็นรายสัปดาห์ จะมี 4 เดือนที่ได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ หรือถ้าได้รับเงินเป็นราย 2 สัปดาห์ จะมี 3 เดือนที่คุณได้เงินเดือน 3 ครั้ง ครั้งที่เกินมาให้นำไปเข้าบัญชีเงินออม (ทันที)


17. เก็บเงินเบิกรายการต่างๆ ส่วนที่เกินจากรายจ่ายจริงเข้าบัญชีเงินออม ค่าเดินทางหรือรายจ่ายอื่นที่เบิกบริษัทได้ ควรเก็บส่วนเกินจากรายจ่ายจริงไว้ หรือคุณอาจได้ค่าล่วงเวลา ควรเก็บเงินส่วนนี้มาออมเช่นกัน เช่น ได้ค่าล่วงเวลาเดือนละ 2,000 บาท ถึงสิ้นปีจะมีเงินก้อน 2.4 หมื่นบาท สามารถนำมาใช้จ่ายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปถอนเงินออมหลัก


18. ยืมมาออม บางคนประสบความสำเร็จในการกู้เงินธนาคาร แล้วนำกลับไปฝากในบัญชีเงินออมของตนเองอีกทีหนึ่ง วิธีนี้ใช้ได้ผลกับคนที่กำลังมีค่าหักลดหย่อน (เช่น กู้ซื้อบ้าน) และใช้ได้กับช่วงเวลาที่ดอกฝากมากกว่าดอกกู้ (หลังภาษี) เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง


19. นำเงินปันผลและดอกเบี้ยไปต่อเงินโดยอัตโนมัติ เมื่อลงทุนหรือฝากเงินในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด จัดการให้เงินปันผลหรือดอกเบี้ยสามารถนำฝากหรือลงทุนต่อได้อัตโนมัติ ในระยะยาวจะเห็นผลน่าพอใจ


20. ทิ้งเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวันให้น้อยที่สุด มีคนจำนวนมากทิ้งเงินไว้ในกระแสรายวัน (เพราะปลอดดอกเบี้ย) แต่หารู้ไม่ว่ากำลังพลาดโอกาสในการทำเงิน ที่ควรก็คือมีเงินในกระแสรายวันให้พอกับรายจ่ายรายเดือน หากเงินเหลือให้โอนไปยังบัญชีเงินฝากที่มีดอกเบี้ยหรือโอนไปลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินที่มีดอกเบี้ยดีสุดในเวลานั้น


21. ใช้ประโยชน์จาก Float ความหมายของ Float คือระยะช่วงที่ผู้ถือเช็คได้รับเช็คไปจนกระทั่งถึงตอนที่ได้รับเงินสั่งจ่ายตามเช็ค กล่าวคือช่วงที่ยังไม่ได้ถูกตัดบัญชีก็ควรแช่เงินไว้ในบัญชีเงินฝากให้นานเท่าที่จะนานได้ ก่อนจะโอนไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเพื่อตัดจ่ายเช็ค


22. จ่ายหนี้ให้หมด คุณอยากได้ผลตอบแทน 17-21% หรือเปล่า? อย่ามีหนี้บัตรเครดิตสิ เคลียร์หนี้บัตรให้หมด รู้มั้ยว่าถ้ายอดหนี้อยู่ที่ 2.4 หมื่นบาท ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งปีอยู่ที่ 4,000-5,200 บาท รีบเคลียร์หนี้ให้หมด ผลตอบแทนที่คุณจะได้คือไม่ต้องเสียดอกเบี้ยก้อนนี้ การปลอดหนี้บัตรจึงเป็นวิธีออมเงินก้อนใหญ่ แต่ถ้าจำเป็นต้องมีหนี้ (จริงๆ) หาบัตรที่ดอกถูกสุดมาใช้


เมื่อรู้ดังนี้แล้ว นักออมทั้งหลาย คงไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น มาเริ่มต้นด้วยการวางแผนคร่าวๆ ถึงวิธีและขั้นตอนปฏิบัติ บันทึกรายการสิ่งที่ต้องทำ จากนั้นให้ลงมือทันที เน้นนะคะว่าคิดแล้วจงลงมือทำทันที ไม่งั้นเดี๋ยวไม่บรรลุจุดหมาย ไม่รู้ด้วยล่ะ

แหล่งอ้างอิง: http://www.thaigoodview.com/

กลโกงบัตรเครดิตโดยใช้บัตรหมดอายุ



เพื่อนคนหนึ่ง ไปใช้บริการ fitness เขาเอากระเป๋าเสื้อผ้ารวมทั้งกระเป๋าเงินใส่ไว้ในล็อกเกอร์ เมื่อออกกำลังการเสร็จกลับมาที่ล็อกเกอร์ ก็พบว่า ล็อกเกอร์เปิดอยู่ เขาคิดว่า"เอ ก่อนออกไปก็ดูว่า ปิดดีแล้วนี่หน่า"เพื่อนรีบใส่เสื้อผ้าแล้วรีบเช็คดูของในกระเป๋าเงินเงินก็อยู่ครบบัตรเครดิตมีกี่ใบก็อยู่ครบ เพื่อนก็ไม่คิดอะไรมากคิดว่าคงลืมปิดล็อกเกอร์เองจริงๆ ถ้ามีคนมางัดมันคงเอาเงินเอาบัตรไปแล้ว

หลายอาทิตย์ต่อมา เมื่อ statement บัตรเครดิตมาถึงปรากฎยอดใช้จ่ายแสนสี่เท่านั้นเอง หา แสนสี่ !!!เพื่อนรีบโทรหาแบงก์ทันทีแล้วก็โวยวายทันที่ว่าเกิดมาไม่เคยคิดฝันจะใช้จ่ายได้ขนาดนั้น

ทางแบงก์ก็เช็คดูเห็นว่า system ไม่มีอะไรผิด มียอดใช้จ่ายเข้ามาจริงๆแล้วก็บอกให้เพื่อนเช็คดูว่าบัตรโดนขโมยหรือเปล่าเพื่อนก็บอกสวนไปเลยว่า "เปล่าบัตรยังอยู่เลย"ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าควักบัตรมาดู นั่นเลย บัตรที่บอกว่าอยู่มันบัตรคนอื่นนี่หว่าบัตรแบงก์เดียวกันเลย หน้าตาเหมือนกันเลย แต่มันเป็นของคนอื่นแล้วก็บัตรหมดอายุแล้วด้วย ไอ้ขโมยมันเปิดล็อกเกอร์ แล้วก็เอาบัตรหมดอายุมาไว้แทนแล้วก็เอาบัตรของเพื่อนไปใช้

และในเมื่อเพื่อนก็ไม่ได้แจ้งอายัติบัตรกับทางแบงก์แบงก์ก็ไม่บันทึกเข้าไปในระบบบัตรหาย เวลาขโมยไปรูดที่ไหนเดื๋ยวนี้ก็รู้กันว่าร้านค้า เวลาเช็คลายเซ็นก็ไม่ดูมาก เซ็นคล้ายๆก็ผ่านแล้วขโมยมันค่อยๆ รูด วันละนิดวันละหน่อย (มีเวลานานนี่ ตั้งหลายๆวันบาง Case หลายอาทิตย์ กว่า statement จะมา)รวมกันหลายวันก็เป็นแสนได้ แบงก์ก็แจ้งว่า ในข้อตกลงของบัตรเครดิตถ้ามีการใช้บัตรขโมย โดยเจ้าของบัตรไม่ได้แจ้งอายัติบัตรเจ้าของบัตรจะต้องรับผิดชอบชดใช้ยอดนั้นๆ

บทเรียนจากกรณีนี้ ไอ้ที่บอกว่าให้เช็คบัตรดูให้ดี มันของแน่อยู่แล้วต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเพิ่มเติม

1. อย่าถือบัตรเครดิตหลายๆ ใบ เลือกเอาเจ้าที่คิดว่าบริการดีที่สุด 1-2 ใบแล้วยกเลิกบัตรที่เหลือไปซะ ถึงขโมยมันจะเปลี่ยนบัตรไปเมื่อคุณเอาบัตรมาใช้คราวต่อไป (อาจจะเป็นวันเดียวกันหรือวันถัดไป)คุณก็จะรู้ว่าบัตรโดนขโมยไป ถ้าถือบัตรหลายใบ ขโมยมันแค่ดูที่รอยรูดก็รู้ว่าบัตรใบนั้นใช้บ่อยหรือไม่ มันจะเลือกใบที่ไม่มีรอยรูดเพราะรู้ว่าคุณไม่ค่อยได้สนใจใช้

2. พยายามทำบัตรเครดิตของตัวให้มีข้อสังเกตพิเศษ ไม่เหมือนใครเช่น PhotoCard มีรูปตัวเอง รูปหมา รูปแมวบนบัตรอ, บัตรมีรอยบิ่นูปนิดหน่อย,บัตรมี sticker ส่วนตัวแปะอยู่ (เดี๋ยวอ่าน กรณีที่ 2 จะเห็น ว่ามีประโยชน์)

3. ในเมืองไทย ถ้าขโมยได้บัตรเครดิตไป โดยเจ้าของบัตรรู้และแจ้งอายัติจะเอาไปใช้ในเมืองไทยไม่ค่อยได้ ขโมยจึงต้องการช่วงเวลาก่อนที่เจ้าของบัตรจะรู้ตัวให้นานที่สุด


และปัจจุบันเครือข่ายบัตรเครดิตปลอมมันเป็นพวก Inter มัน copy ข้อมูลบัตรไปให้พวกมันในประเทศอื่นช่วยกันใช้ได้ด้วย

เพื่อนอีกคนไปกินอาหารในภัตตาคารแล้วก็จ่ายค่าอาหารด้วยบัตรเครดิตโดยมอบให้บ๋อยภัตตาคารเอาไปรูด เมื่อบ๋อยเอาบัตรเครดิตมาคืนปกติเพื่อนก็จะเก็บเข้ากระเป๋าเลยไม่เช็คมาก แต่วันนั้นโชคดีเพื่อนดันสังเกตว่าบัตรที่บ๋อยคืนมามันเป็นบัตรของคนอื่นที่หน้าตาของบัตรเหมือนกันเด๊ะ แต่หมดอายุแล้วตอนแรกเพื่อนก็ไม่คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นความผิดพลาดของ Cashierจึงเรียกบ๋อยมาบอกว่าหยิบบัตรผิดมาให้

แต่มันน่าสังเกตว่า...บ๋อยไม่มีท่าทีประหลาดใจอะไรเลย มันหยิบบัตร ขอโทษแล้วเดินกลับไปหา Cashier ทำมือโบกบัตรให้ Cashier ดู Cashierก็ไม่ทำท่าประหลาดใจใดๆ รีบหยิบบัตรของเพื่อนเปลี่ยนให้แบบเฉยเมยไม่พูดอะไรกันสักคำ บ๋อยก็เอาบัตรของเพื่อนมาคืนให้แล้วขอโทษใช่แล้ว มันเป็นพวกขโมยบัตรเครดิต

ถ้าเราไม่เช็คบัตรแล้วกลับไปมันอาจมีเวลาถึง 24 ชั่วโมงในการใช้บัตรของคุณก่อนที่คุณจะใช้บัตรครั้งต่อไปแล้วพบว่าวงเงินเต็ม บทเรียนจากกรณีนี้
1. เช็คบัตรเครดิตที่คืนมาทุกครั้ง แม้ว่าบัตรจะพ้นสายตาของเราไป
2. พยายามทำบัตรเครดิตของตัวให้มีข้อสังเกตพิเศษ ไม่เหมือนใคร

ความคิดระหว่าง คนรวย คนชั้นกลาง


ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ใครๆๆย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกอย่างแพงขึ้น เป็นทวีคูณ....นาทีนี้เชื่อว่าหลายคนที่ใช้รถ คงต้องแบกภาระค่าน้ำมันกันจนไหล่แทบหลุด เพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับสูงขึ้นทุกๆ วัน ได้มีโอกาสอ่านบทความ บทความหนึ่งในเว็บไซด์ก็เลยเก็บมาฝากลองอ่านดูนะค่ะ.....

**** เผื่อได้แง่คิดดีๆๆ เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวยกันค่ะ...*****

10 ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลางความแตกต่าง


ข้อแรก เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น

ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง


ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น

นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น


ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้


ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง

นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว


ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน

นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้


ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง

คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต


ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง

ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก


ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน

เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเองสุดท้าย


ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?


และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้

***ส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย คิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่าค่ะ **** ๙๙๙๙๙ ***


ที่มา : http://share.psu.ac.th/

แผนการเงินสาวโสด


M&W Family Finance
ด ร . สุ ว ร ร ณ ว ลั ย เ ส ถี ย ร : เรื่อง Case # 3:
A SINGLE Family
กรณีศึกษาที่ 3 : ครอบครัวของสาวโสด

นักจิตวิทยาบอกว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมชอบอยู่กันเป็นหมู่เป็นเหล่า ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงมีครอบครัว มีลูก อย่างไร ก็ตาม สังคมในปัจจุบันมีทิศทางที่ทำให้คน เราต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น บางครั้งก็มี ความกดดันในด้านต่างๆ จนไม่อยากจะไป เอาใจใคร หรือขัดใจใคร จึงคิดว่าอยู่คนเดียวจะมีอิสระและสะดวกสบายกว่า หากถามว่าชีวิตโสดกับชีวิตคู่ อย่างไหนจะดีกว่ากัน ก็คงตอบได้สั้นๆ ว่า ดีพอๆ กัน เพราะเปรียบแล้ว คนที่แต่งงานเหมือนคน ที่อยากจะทานข้าวก็ต้องซาวน้ำและหุงข้าว ให้ดี เมื่อข้าวสุกแล้วก็จะทานอิ่มอร่อย แต่ ถ้าหากเร่งไฟแรงไป ข้าวก็จะไหม้ ทานแล้ว ไม่เป็นสับปะรด ซึ่งเทียบได้กับการแต่งงาน หากเข้ากับคู่ชีวิตได้ดี ก็ย่อมจะมีความสุขไป ถึงชั้นลูกชั้นหลาน ในทางตรงกันข้าม คน ที่อยู่เป็นโสดก็เสมือนคนไม่อยากกินข้าวจึงไม่ต้องเสียเวลาไปหุงหา แต่ก็อดลิ้มรส ความสุขของการกินข้าว

สาวโสดรับราชการ
นางสาวลัดดา อายุ 33 ปี ยังไม่แต่งงาน อาชีพรับราชการอยู่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนปีหนึ่ง ประมาณ 250,000 บาท ลัดดาเคยคบกับผู้ชาย 2-3 คน แต่ก็ไม่ถูกใจ จึงคิดว่าจะอยู่เป็นโสดไป ตลอดชีวิต การเป็นอยู่จึงค่อนข้างเรียบง่ายโดยมีเงินออมปีหนึ่งประมาณ 100,000 บาท ดังนี้

ลัดดาเพิ่งได้รับมรดกจากคุณแม่เป็นที่ดิน อยู่ในละแวกใกล้บ้านซอยสุทธิสารเช่นกัน เธอ เกรงว่าเงินออมปีละเพียง 100,000 บาท จะไม่พอใช้จ่ายเมื่ออายุมาก จึงคิดจะสร้างหอพัก บนที่มรดกเพื่อเปิดให้เช่าประมาณ 80 ห้อง หาก ได้ค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาทต่อห้อง ปีหนึ่งจะได้ค่าเช่าเกือบ 3,000,000 บาท แต่ต้องกู้เงิน 15 ล้านบาท เพื่อก่อสร้าง โดยเบิกเงินกู้ไปแล้ว 4 ล้านบาท ส่วนบ้านที่ซื้อไว้เดิมราคา 1,000,000 บาท ก็ปล่อยเช่าเดือนละ 10,000 บาท ขณะนี้ ราคาตลาดของบ้านปรับขึ้นมาเป็น 2,000,000 บาทแล้ว

1. การกู้เงิน 15,000,000 บาท เพื่อมาสร้างหอพักเป็นความคิดที่ดี แต่ต้องระวังว่าธุรกิจมีทั้งขาขึ้นและขาลง ดังนั้น เงินกู้ดังกล่าวควรเอาเฉพาะที่ดินและอาคารหอพักเป็นประกัน เผื่อ ว่าเมื่อสร้างแล้วเกิดไม่มีผู้มาพัก หรือ ไม่มีเงินผ่อนจ่ายหนี้คืนธนาคารได้เพียงพอ หากในที่สุด ต้องถูกยึด ก็จะได้เสียเฉพาะที่ดิน ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ สัญญากู้เงินไม่เปิดโอกาสให้ธนาคาร มาฟ้องร้องเอาไปชำระหนี้ คนเราต้องระวังว่าธุรกิจมีความเสี่ยงอยู่เสมอ จึงควรจำกัดความ เสี่ยงโดยระบุไว้ในสัญญากู้ยืมให้แจ้งชัด อย่าเอาทรัพย์สินส่วนตัวไปผูกพัน

2. หลายคนถามว่าควรทำหอพักในชื่อส่วนตัวหรือในชื่อบริษัท ผมขอแนะนำว่า เนื่องจากที่ดิน มรดกที่ลัดดาได้รับไว้อยู่ในชื่อส่วนตัว จึงควรทำหอพักในชื่อของส่วนตัวไปก่อน เพราะเมื่อ เริ่มต้นยังไม่แน่ว่าจะประสบผลสำเร็จแค่ไหน ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อกิจการเจริญมั่นคง มากขึ้น รายได้เป็นล่ำเป็นสันแล้วหากจะคิดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนมารับช่วงธุรกิจหอพัก ค่อยตัดสินใจอีกทีหนึ่ง การตั้งเป็นบริษัท ลัดดาต้องเอาใจใส่ในเรื่องการทำบัญชี เก็บใบเสร็จ รวมตัวเลขรายได้รายจ่าย ซึ่งถือเป็นภาระอย่างหนึ่ง และหากเป็นคนที่ไม่ถนัดในเรื่องนี้ก็จะต้องจ้างคนมาช่วยดูแล แม้จะมีค่าใช้จ่าย แต่ก็คุ้มที่จะทำ

3. ประเทศไทยไม่มีภาษีมรดก ดังนั้น ที่ดินที่ลัดดาได้รับจึงไม่ต้องเสียภาษีแต่ประการใด ผมเชื่อว่าประเทศเรานี้ไม่มีภาษีมรดก เพราะคนไทยเราก็เสียภาษีนับสิบอย่างแล้ว รัฐบาลควร ไปเก็บภาษีเหล่านั้นให้ทั่วจะดีกว่ามาประกาศใช้ภาษีประเภทใหม่ และขนบธรรมเนียมก็คือ คนไทยจะเก็บทรัพย์สมบัติให้ลูกหลาน

4. เมื่อหอพักเริ่มมีรายได้แล้ว ลัดดาควรเก็บเงินออมเป็นเงินสดให้มากกว่านี้ โดยผมแนะนำ ให้ไปซื้อกองทุนแบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ครึ่งหนึ่งที่ให้ผลตอบแทน 3-4 เปอร์เซ็นต์ และซื้อกองทุนหุ้นอีกครึ่งหนึ่งซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า เนื่องจากลัดดาต้องการเก็บเงินไว้ใช้ในระยะยาว การลงทุนในกองทุนหุ้นจะมีโอกาสได้กำไรมากกว่ากองทุนประเภทอื่น เพราะขณะนี้ รัฐบาลดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นจึงมีแนวโน้มจะมั่นคงกว่าสมัยก่อน เพราะกำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ

5. เนื่องจากลัดดาเป็นโสดและไม่มีภาระประการใด จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกันชีวิต เงิน ที่ออมได้ เก็บไปลงทุนเองจะได้ผลเร็วกว่า เพราะการออมเงินผ่านประกันชีวิต ลัดดาจะได้ ผลตอบแทนเพียงครึ่งเดียว เบี้ยประกันอีกครึ่งหนึ่งเป็นผลกำไรของบริษัทประกันและค่า นายหน้าที่ตัวแทนเรียกเก็บ ส่วนเงินที่ให้หลานเป็นค่าเล่าเรียนปีละ 20,000 บาท ก็ให้เท่ากับเป็นการทำกุศลให้แก่ญาติผู้ใกล้ชิด โดยลัดดาอาศัยอยู่กับคุณพ่อซึ่งเกษียณอายุจาก ราชการแล้ว คุณพ่อก็มีเงินบำเหน็จบำนาญใช้ส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งพาเงินจากลัดดา

6. การทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์ห้องเช่า นอกจากจะต้องเสียภาษีเงินได้โดยค่าเช่าหักรายจ่ายได้ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 70 เปอร์เซ็นต์ นำมาคำนวณภาษีตามอัตราบุคคลธรรมดา หรือหากให้เช่าในนามของบริษัทก็เสียภาษี 30 เปอร์เซ็นต์ของผลกำไร แต่ถ้าผู้ประกอบกิจการ ลงทุนมาก อาจใช้วิธีหักค่าใช้จ่ายตามจริง ซึ่งมีทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าเสื่อม ค่าสึกหรอ ค่าบำรุงรักษา และค่าจ้างพนักงาน นอกจากนี้ ลัดดายังต้องเสียภาษีโรงเรือน 12.5 เปอร์เซ็นต์ของค่าเช่าหรือค่ารายปีด้วย ตามที่เทศบาลหรือเจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่นจะเรียกเก็บ ซึ่งค่ารายปีนี้อาจเจรจาตกลงกันได้ เพราะห้องเช่ามิใช่จะมีค่าเช่าอัตราเดียวหรือมีผู้เช่าเต็มตลอดทั้งปี ทางราชการมักจะมีสูตรในการคิดค่าภาษีโรงเรือน
ที่มา : http://finansa-asset.com/

ตลาดของคนโสด


นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา พฤษภาคม 2552


ในอดีตคนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อบ้านมากกว่าคอนโดมิเนียม แต่หลังจากวิถีชีวิตเปลี่ยนไป คนวัยทำงานเริ่มแต่งงานน้อยโดยเฉพาะคนโสดเลือกอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมมากกว่า

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้ซื้อคอนโดมิเนียมและผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมภายในเวลา 1 ปี โดยเลือกสำรวจคอนโดมิเนียมในรัศมี 2 กิโลเมตรจากแนวรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลพบว่า ส่วนใหญ่เป็นตลาดคนโสดที่มีรายได้ 2-4 หมื่นบาท

ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ว่าจ้างบริษัท มาร์เก็ตติ้งมูฟ จำกัด สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 420 คนในช่วงปลายปี 2551 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ได้ซื้อคอนโดมิเนียมแล้ว 205 ราย และกลุ่มที่สนใจจะซื้อคอนโดมิเนียมภายใน 1 ปี จำนวน 215 ราย

กลุ่มที่ได้ซื้อคอนโดมิเนียมแล้วในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ปีที่ผ่านมา เป็นกลุ่มที่ซื้อคอนโดมิเนียมในราคาไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท และซื้อในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่สำรวจจากแบบสอบ ถามผู้ซื้อจำนวน 205 ราย พบว่าเป็นคนโสดร้อยละ 54 มีช่วง อายุ 25-34 ปี ทำงานบริษัทเอกชนร้อยละ 41 รายได้ส่วนตัวเฉลี่ย 2-4 หมื่นบาท จำนวนร้อยละ 61

คนโสดเหล่านี้จะซื้อคอนโดมิเนียมในราคา 1.6-2 ล้านบาท และซื้อห้องขนาด 30.5-40 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ โดยศึกษาข้อมูลจากแผ่นพับประชาสัมพันธ์

ส่วนกลุ่มที่สนใจจะซื้อคอนโดมิเนียมภายใน 1 ปี จำนวน 215 ราย เป็นกลุ่มคนโสดที่มีช่วงอายุระหว่าง 25-34 ปี และมีรายได้เท่ากับกลุ่มที่ได้ซื้อคอนโดมิเนียมไปแล้ววิถีชีวิตของกลุ่มคนโสดเปลี่ยนไปโดยเลือกพักอาศัยอยู่ใกล้สำนักงานหรือใกล้รถไฟฟ้าใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 30 นาที

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศรัณยพงศ์ เที่ยงธรรม ผู้จัดการศูนย์ที่ปรึกษาทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ บอกว่ากลุ่มตัวอย่างของผู้สำรวจส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในห้องเช่าประเภทแฟลตหรืออพาร์ตเมนต์ เป็นกลุ่มที่ยังไม่มีหน่วยงานวิจัยเคยสำรวจมาก่อน

สำหรับภาระค่าใช้จ่ายหลักๆ ของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวร้อยละ 50-60 ที่เหลือเป็นภาระเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัว ร้อยละ 10 มีเงินฝากประมาณ 5 หมื่นถึง 2 แสนบาทขึ้นไป แต่กลุ่มที่ซื้อคอนโดมิเนียมไปแล้วมีเงินเก็บสูงถึงระดับ 5 แสนบาท เก็บจากเงินฝาก 100% ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุนประเภทอื่น ได้แก่ RMF/LTF หรือลงทุนในหุ้น พันธบัตร ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะสามารถนำไปหักภาษีได้ก็ตาม

นอกเหนือจากเป้าหมายหลักในการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่จากสถานการณ์น้ำมันแพง ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมคึกคักจึงทำให้ผู้ซื้อบางส่วนหวังขายต่อหรือปล่อยให้เช่า เพราะมองว่าเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับอนาคต

สำหรับวิธีการชำระเงิน ผู้ซื้อจะยืมเงินผู้อื่นเพื่อวางดาวน์ส่วนการโอนยังคงใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน ดังนั้นมาตรการภาครัฐจึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้น-ลงมีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อเป็นอย่างมาก

อย่างเช่นกรณีคำถามของศูนย์ข้อมูลฯ เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยหากขึ้นร้อยละ 10 กว่า ผลสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งหนึ่งตัดสินใจที่จะหยุดซื้อคอนโดมิเนียม

ตลาดคนโสดเป็นตลาดที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คงจะไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป เพราะเป็นกลุ่มที่มีเงิน มีการศึกษาและไม่มีภาระเรื่องครอบครัว

แผนการเงินสำหรับคนโสด


MoneyPro: วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ wiwan.th@kasikornresearch.com

วารสารสหประกันชีวิต ฉบับที่ 10 ประจำเดือนมิถุนายน 2552 หน้า 14

คนหลายคนมองว่าการทำงานมีเงินเดือน คือความมั่นคง ยิ่งเงินเดือนมาก ความมั่นคงยิ่งมากขึ้นตามแต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินเดือนคือค่าจ้าง นั้นคือ ค่าแรงที่คนที่รักเงินเดือนได้ลงแรงทำไป

แต่ถ้าเราย้อนนึกไปถึงวันที่เราขาดซึ่งแรงที่จะทำงานได้ต่อไปเงินเดือนจากการทำงานก็จะไม่มีเช่นกัน จึงทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าสุดท้ายแล้วความมั่นคงที่แท้จริงคืออะไร ใช่เพียงแค่เงินเดือนเท่านั้นหรือ

ชีวิตคนทำงานประจำไม่ว่าจะอยู่ระดับไหน ลูกน้อง หัวหน้า ผู้จัดการ ล้วนแล้วแต่เป็นลูกจ้างทั้งหมดทั้งสิ้น ทำงานได้ก็มีเงินเดือน ทำงานไม่ไหว เจ็บป่วย แก่ตัวลงไปก็ต้องถูกปลดออกจากงาน ตกอยู่ในภาวะขาดรายได้ และถ้าวันนั้นมาถึง เราเข้าจริง ๆ คุณคิดว่าคุณมีหลักความมั่นคงให้ได้ยึดจับหรือยัง

แผนการเงินของคนโสดไม่แตกต่างกับแผนการเงินของผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีบุตร เพราะสามารถตัดเรื่องการวางแผนเพื่อการศึกษาของบุตรไปได้ คงเหลือเฉพาะการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงาน เพราะต้องดูแลตัวเอง และอาจจะต้องวางแผนเพื่อเลี้ยงดูบุพการีด้วย

คนโสดในวัยสามสิบเศษ หากไม่คิดว่าจะมีครอบครัวก็สามารถวางแผนซื้อบ้านได้ ในภายหลังหากมีครอบครัวก็ไม่ต้องหาซื้ออีก แค่ถ้าหากไม่มีครอบครัวและมาเริ่มซื้อตอนอายุ 40 หรือ 45 ปี อาจจะช้าไปหน่อยค่ะ ผ่อนไม่ไหว ประมาณเอาว่าเริ่มวางแผนซื้อบ้านตั้งแต่อายุ 35 ปี ก็น่าจะดีค่ะ

นอกจากนั้น ยังต้องวางแผนเรื่องการดูแลสุขภาพด้วย ทำร่างกายให้แข็งแรง และเลือกดูแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสม ในกรณีที่ที่ทำงานไม่ได้ครอบคลุมการประกันสุขภาพให้ เพราะข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งของคนโสดคือ เวลาเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้ จะไม่มีรายได้จากคู่สมรสมาช่วย ทุกอย่างจึงต้องอาศัยตนเองทั้งสิ้น นอกเสียจากว่าท่านจะมีญาติพี่น้องคอยดูแลอีกชั้นหนึ่ง

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนโสดค่ะ เพราะทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในชีวิตของท่านก็คือตัวของท่าน และถ้าท่านไม่อยากให้ตัวท่านเองเป็นภาระของตัวเองในยามชราภาพ ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีเลิศ

สุขภาพจิตก็สำคัญค่ะ เนื่องจากท่านไม่มีลูกให้ดุ ไม่มีคู่สมรสให้ต่อว่า ท่านอาจจะสะสมความเครียดโดยไม่รู้ตัว ต้องมีการระบายความเครียด อาจจะด้วยการออกกำลังกาย ด้วยการทำสมาธิ ด้วยการศึกษาศาสนา อ่านหนังสือธรรมะ ฯลฯ

การวางแผนประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่ควรจะทำค่ะ และสำคัญกว่าแผนประกันชีวิต โดยเฉพาะท่านที่ทำงานอิสระหรือหน่วยงานที่สังกัดไม่ได้ให้การดูแลในเรื่องสุขภาพ แต่สำหรับท่านที่ต้องเลี้ยงดูบุพการี ท่านควรจะต้องวางแผนประกันชีวิต เช่นเดียวกับผู้มีครอบครัวและต้องเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรค่ะ

หากท่านเป็นคนโสด ท่านก็วางแผนแบบคู่สมรสใหม่กับแบบวัยก่อนเกษียณ คือ เมื่อยังอายุน้อยก็เน้นการวางแผนการใช้จ่าย และแผนการลงทุน พออายุเพิ่มขึ้นก็เน้นการวางแผนเกษียณเพิ่มเติม ถ้าท่านมีภาระเลี้ยงดูผู้อื่น ท่านก็ต้องวางแผนประกันภัย (ประกันชีวิต) เพิ่มสำหรับแผนการลงทุนนั้น เป็นแผนที่ได้ใช้ตลอดช่วงอายุค่ะ จึงมีความสำคัญ และเป็นส่วนที่ยากและท้าทายความสามารถมากที่สุด

ในส่วนนี้ขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้รู้ เพราะหากวางแผนลงทุนไม่ดี เงินที่เก็บมาทั้งชีวิต อาจลดลงไปทำให้ไม่สามารถเกษียณอายุงานได้เร็วขึ้นตามที่เคยวางแผนเอาไว้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลงทุนมีความผันผวนมาก ท่านต้องวางแผนและลงมือปฏิบัติด้วยความระมัดระวังค่ะ

การวางแผนการเงินเป็นเรื่องที่ไม่ยากใช่ไหมคะ ท่านจะเห็นว่าความสำคัญของการวางแผนการเงินในแต่ละช่วงชีวิต จะเน้นประเภทของแผนที่แตกต่างกัน ตอนยังไม่มีเงินออมก็ต้องออมเงินก่อน เมื่อมีเงินพอสมควรก็ต้องลงทุน เมื่อมีทรัพย์สินมากพอสมควรก็ต้องทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองชีวิตและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน และเมื่อมีโอกาส ต้องวางแผนเพื่อการเกษียณอายุงานที่สุขสบาย ทั้งนี้และทั้งนั้น ในทุกช่วงอายุต้องดูแลสุขภาพให้ดีค่ะ* *

กล่าวกันอยู่เสมอว่า แผนการเงินของแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน นอกจากจะแตกต่างกันตามช่วงเวลาของชีวิตแล้ว ยังแตกต่างกันเพราะรสนิยม ความชอบ ค่านิยมในการใช้ชีวิต ความประทับใจ และความเชื่อส่วนบุคคล ความผูกพันและผลกระทบต่อจิตใจ วัฒนธรรมของแต่ละสังคม ฯลฯ

ดังนั้นเวลาวางแผนการเงิน ผู้รับการวางแผนควรจะต้องบอกให้ผู้วางแผนทราบ เพื่อที่ผู้วางแผนจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ประกอบด้วยในการวางแผนการเงิน
เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด การบรรลุเป้าหมายในชีวิตต่างหากที่สำคัญกว่า แต่เนื่องจากสังคมเราเป็นสังคมที่ใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เราจึงต้องวางแผนโดยใช้เงินและตัวเลขเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผน ในบางกรณีท่านอาจจะสามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ โดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น บางท่านอาจจะมีเป้าหมายชีวิตที่จะแสวงหาธรรมะ ท่านก็อาจจะบวชเป็นพระหรือชี หรือนักบวชในศาสนาของท่าน หรือในบางกรณีท่านก็สามารถวางแผนการปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารของท่านได้เอง ท่านก็สามารถลดจำนวนเงินที่ต้องการใช้ในการดำรงชีพได้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น หากท่านคำนวณเงินออมเพื่อการเกษียณแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถเก็บให้ครบได้ ท่านอาจจะเริ่มมองหาที่ว่างข้างบ้านเพื่อเพาะปลูกผักและพืชสวนครัว หรือเริ่มปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้าน แทนที่จะออกไปรับประทานนอกบ้านทุกวันขอให้ท่านผู้อ่านทุกคนสามารถวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน ได้อย่างดี หรือได้ทำตามความฝันของท่านอย่างราบรื่น และขอให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตามควรแก่อัตภาพค่ะ


ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

สูตรออมง่าย...ทำได้ทุกเดือน


1.รายได้ – เงินออม = รายจ่ายทั้งหมด
รายได้ทุกอย่าง ก่อนจะนำไปใช้จ่ายต่างๆ ให้หักเป็นเงินออมอย่างน้อย 10% เสมอ

2.เปิดบัญชีธนาคารเพื่อเงินออมโดยไม่ทำบัตรเอทีเอ็มเมื่อไม่มีเอทีเอ็ม ก็จะทำให้เบิกเงินออกมาใช้ยากขึ้น

3.เลือกใช้บัญชีที่เงินเดือนเข้าและมีบัตรเอทีเอ็มเป็นเงินใช้จ่ายของทั้งเดือนจะทำให้เรารู้การใช้จ่ายต่อเดือน และหากเลือกให้หักค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบัตรต่างๆ ผ่านบัญชีธนาคารจะช่วยลดค่าเดินทางในการใช้จ่ายต่างๆ ไปได้เยอะทีเดียว

4.วางแผนการซื้อของก่อนไปจ่ายตลาดจดรายการที่ต้องการซื้อเท่าที่จำเป็น เพื่อจะไม่หลงซื้อตามคำจูงใจโฆษณา ณ จุดขาย

5.พยายามไม่ใช้บัตรเครดิตหรือซื้อสินค้าเงินผ่อนควรซื้อของด้วยเงินสด หากมีความจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวกก็ควรจ่ายเต็มจำนวนเงินที่ใช้ไปทุกครั้งที่มีการเรียกเก็บ เพื่อไม่ให้เสียดอกเบี้ย6.เลือกผ่อนชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยมากที่สุดก่อนหรือพยายามรวมหนี้ต่างๆ ให้เป็นหนี้เพียงก้อนเดียว

7.ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าลดราคาหากวางแผนซื้อสินค้าราคาแพงใดไว้ ก็ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ เพราะอาจได้ซื้อสินค้าโปรโมชั่นในราคาที่ถูกกว่าเดิม

8.เลือกบริโภคและอุปโภคสินค้าตามฤดูกาลราคาจะไม่แพงและได้ของสดใหม่เสมอ

9.ลดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ต้องจ่ายประจำใช้ไฟ น้ำ โทรศัพท์ เท่าที่จำเป็น เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองของครอบครัว

10.ประโยชน์จากเสื้อผ้าเก่าและของเหลือใช้ดัดแปลงเสื้อผ้าที่ล้าสมัยของเก่า และคัดแยกขยะรีไซเคิลก่อนทิ้งเพราะสามารถนำไปขายเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง

11.จัดสรรเวลาให้เป็นและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยและหากมีเวลาว่างมากพอ ควรหาความรู้หรือวิชาชีพเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มรายได้ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

12.ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงหลีกเลี่ยงอบายมุขลด ละ เลิก เหล้า บุหรี่ สิ่งเสพติดที่ไปบ่อนทำลายสุขภาพ และเลิกเล่นการพนันเสี่ยงโชคต่างๆกรุงเทพมหานคร ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ มาเป็นแนวทางในการบริหารเพื่อการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงโดยครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนกรุงเทพมหานครและอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง

15 วิธีรักษาเงิน รักษ์โลก


1. ปิดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อไม่ใช้งาน โดยถอดปลั๊กออกด้วย เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังคงใช้ไฟอยู่แม้จะกดปิดแล้ว

2. ควรใช้เครื่องปรับอากาศตามความจําเป็น พร้อมกับตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม (อุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 25 องศา) หรือในช่วงที่อากาศเย็น ลองปรับอุณหภูมิขึ้นสัก 1 - 2 องศา

3. ใช้หลอดประหยัดไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ

4. หากไม่มีความจําเป็นควรงดใช้เครื่องทําน้ำอุ่นขณะอาบน้ำ

5. ควรเลือกวิธีการเดินทางที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด เช่น การเดิน ขี่จักรยาน หรือใช้บริการรถขนส่งมวลชน แทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว ประหยัดทั้งเงิน พลังงาน และยังได้ออกกําลังกาย

6. ปรับเปลี่ยนนิสัยการขับรถเพื่อลดการใช้น้ำมัน เช่น ลดความเร็วในขณะขับรถ ตรวจเช็กลมยางก่อนออกเดินทาง และหมั่นรักษาระดับลมยางให้เหมาะสม

7. พยายามบริโภคอาหารที่ผลิตและปลูกในท้องถิ่น เพราะนอกจากมีราคาถูกแล้ว ยังช่วยลดการใช้น้ำมันของยานพาหนะที่ใช้ขนส่ง

8. ลดจํานวนชั่วโมงการดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ แล้วหันไปทํากิจกรรมสร้างสรรค์ง่ายๆ ในครอบครัว เช่น นําเศษวัสดุเหลือใช้ประดิษฐ์เป็นของเล่น ประหยัดทั้งค่าไฟ และค่าของเล่น แถมยังได้ใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว

9. คิดให้รอบคอบก่อนซื้อ เลือกสินค้าที่มีอายุการใช้งานนาน และควรใช้อย่างคุ้มค่า บางชิ้นสามารถนํากลับมาซ่อมแซมแล้วนํากลับมาใช้ใหม่ได้

10. เลี่ยงซื้อสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์สิ้นเปลือง และลดการใช้ถุงพลาสติก โดยนําถุงติดมือไปด้วย หรือสิ้นค้าบางชิ้นใส่ถุงใบเดียวกันได้

11. ใช้กระดาษทั้งสองหน้า คิดก่อนสั่งพิมพ์งาน นํากระดาษที่ไม่ใช้แล้วมาทําเป็นสิ่งประดิษฐ์ง่ายๆ ร่วมกับลูก ช่วยลดขยะและประหยัดเงิน

12. พยายามใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนกระดาษทิชชู

13. ใช้น้ำอย่างประหยัด เช่น ปิดน้ำขณะแปรงฟันและถูตัว ไม่เปิดน้ำแรงเกินไปขณะอาบน้ำ หรือล้างมือ เป็นต้น

14. เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ซับซ้อน เช่น กินข้าวสวยหรือข้าวต้ม กินผลไม้สด และหลีกเลี่ยงอาหารกระป๋อง เป็นต้น
15. เมื่อเริ่มลงมือทําข้อใดข้อหนึ่งแล้วอย่าลืมบอกต่อไปยังเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้จัก

แนวคิดวิธีใช้เงินคนรวย

ขอเอาวิถีชีวิตของคนที่ได้ชื่อว่ามีเงินมากมายจนไม่รู้จะเอาไปไว้ไหน มาฝากกัน และเพื่อแสดงให้เห็นด้วยว่าคนที่เค้าลงทุนจนร่ำรวยนั้น มักเก็บเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ผู้อื่นมากกว่าหาความสุขให้กับตัวเอง




บิลเกตต์...
เคยเข้าประชุมสายเพียงเพราะว่า เค้าวนหาที่จอดอยู่นานมากเนื่องจากที่จอดแถวนั้นเค้ารู้สึกว่าแพง!@!!




จอรจ โซรอส...
นั่งรถแท็กซี่ไปทำงาน เค้าให้เหตุผลว่า ผมทำรายได้จากเงินลงทุนได้ประมาณ 36%ต่อปี ถ้าผมซื้อรถถ1คันราคา 1 ล้าน ใช้ไปได้สิบปี แล้วขายเป็ฯเศษเหล็ก รถคันนี้ไม่ได้มีมูลค่า1 ล้าน แต่เป็น 32 ล้านเทียบกับว่าเอาไปลงทุน คิดอย่างนี้แล้วผมก้อเลยซื้อไม่ลง

ทพ.ยรรยง หรือ หมอยง...
ผู้มีทรัพย์สินเป็นเงินสดและหุ้นรวมกันไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท -"วิถีชีวิตของผมง่ายๆ เรียบๆ แต่งตัวธรรมดาๆไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนม ชอบใส่รองเท้าแตะนาฟิกาก็ใส่ไซโก้เรือนละแปดพัน ไม่เคยใส่โรเลกซ์(ปลอมแบบไอ้จอ) ราคาเหยียบแสนเลย ผมว่าคุณค่าผมมีมากกว่าสิ่งของเหล่านั้นเยอะ คนที่เค้าจะชื่นชมผมก้อควรชื่นชมความรู้ความสามารถและนิสัยมากกว่าสิ่งภายนอกเหล่านั้น รถก็ขับวอลโว่850 เก่าๆขับมาแปดปีแล้ว เอาแค่พอขับได้ก็พอ ไม่ต้องแพงเว่อ วันหยุดเสาร์อาทิตย์มักจะไปดูหนัง เดินเล่นห้าง แค่นั้น หรือไม่ก็เข้าป่า..ผมชอบเที่ยวป่าแบบbackpack เมืองนอกไม่ชอบเที่ยว ไปไกลสุดก็สิงคโปร์


ดร.นิเวศน์ ...
ผู้มีพอรตหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน ....ผมชอบเดินจ่ายตลาดเองวันเสาร์เย็นๆกะครอบครัว รถถ้าไม่ได้อยู่ในหน้าที่การงานผู้บริหารก็คงจะไปใช้รถญี่ปุ่นแล้ว พวกนี้เป็นเศษเหล็กยิ่งเวลาผ่านไปราคายิ่งตกลง....เที่ยวเมืองนอกก้อใช้ economic class ตลอด

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง...
เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ชายคนนี้บอก กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดที่จอดอยู่หน้าธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้า หน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ต่างก็ขบขันชายชาวอินเดียที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท มาค้ำประกันเงินกู้ เพียงแค่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของธนาคาร


สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน 170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า "ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงินในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วย ล่ะครับ" ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า "ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์ ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย"


ที่มา : http://atcloud.com

ออมเงินไว้ในหุ้นได้



ข้อแนะนำของนักการเงินที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของคนทั่วไปมากที่สุดเห็นจะได้แก่ ข้อแนะนำที่บอกว่า วิธีออมเงินเพื่อวัยเกษียณที่ดีที่สุด คือ การออมไว้ในตลาดหุ้น แต่คนทั่วไปมักมีความรู้สึกว่า ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง เงินสำหรับไว้ใช้จ่ายในยามแก่เฒ่า น่าจะเก็บไว้ในที่ซึ่งปลอดภัย อาทิเช่น เงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ มากกว่า

สาเหตุที่นักการเงินแนะนำเช่นนี้ เป็นเพราะแม้ว่าหุ้นจะมีความเสี่ยงมากกว่าเงินฝาก หรือตราสารหนี้มาก อาทิเช่น ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี หุ้นอาจทำให้คุณขาดทุนได้มากถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นอีก ในขณะที่ตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน อาทิเช่น 3-5 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น แต่ก็เพราะหุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่านี่แหละที่ทำให้ในระยะยาวแล้ว หุ้นจะต้องให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เพราะชดเชยความเสี่ยงที่สูงกว่านั่นเอง การออมเงินเพื่อเกษียณเป็นการออมที่มีระยะเวลาออมที่นานมาก ดังนั้น มันจึงเหมาะกับการออมไว้ในหุ้นมากที่สุด และจากการประเมินพบว่า การออมเงินไว้ในหุ้นนั้น ยิ่งมีระยะเวลาออมนานเท่าไร ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะยิ่งมีความผันผวนน้อยลง และมีค่าเป็นบวกด้วย ที่สำคัญมันสูงกว่าการออมไว้ในหลักทรัพย์ชนิดอื่นๆ ทั้งหมดแบบเทียบกันไม่ได้ แต่คำว่าระยะยาวที่ว่านี้ จะต้องมีระยะเวลายาวนานเกิน 15 ปีขึ้นไป

มีหลายคนระแวงสงสัยว่า การออมเงินไว้เฉยๆ ในตลาดหุ้นนานๆ จะดีจริงหรือ หลายคนมีความเชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยถือยาวไม่ได้ เพราะอย่างเมื่อปีที่แล้ว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่แถวๆ 900 จุด ก็เพิ่งจะร่วงลงมาอย่างแรงจนเหลือเพียงแค่ 380 จุดเท่านั้น แล้วอย่างนี้การออมเงินเกษียณด้วยการซื้อหุ้นทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่มีการขายออกมาเลยจนกว่าจะใกล้เกษียณ จะเป็นวิธีการที่ดีจริงหรือ เกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถแสดงให้เห็นว่า การออมเงินไว้ในตลาดหุ้นไทยเป็นเวลานานมากๆ โดยไม่มีการซื้อๆ ขายๆ ระหว่างทาง สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้จริงๆ เพราะมีกองทุนรวมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า กองทุนรวมหุ้นที่เลียนแบบดัชนี (Index Fund) อยู่ กองทุนประเภทนี้มีนโยบายการลงทุนง่ายๆ ด้วยการกระจายเงินลงทุนทั้งหมดไว้ในหุ้นทุกตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีหุ้น เพื่อให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปลี่ยนแปลงไปตามดัชนีตลาดหุ้นที่เปลี่ยนไปด้วย เช่น กองทุนรวมทหารไทย SET50 ของ บลจ. ทหารไทย ลงทุนในหุ้น 50 ตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี SET50 กองทุนนี้จัดตั้งขึ้นมานานแล้วพอสมควร คือ ตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งสามารถทำการศึกษาจากผลการดำเนินงานของกองทุนนี้ได้ ปรากฏว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนนี้เมื่อเร็วๆ นี้เป็นดังนี้

ช่วงเดือนเมษายน 2552 เป็นช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยกำลังย่ำแย่เต็มที่เพราะปัญหาซับไพร์ม จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีของกองทุนนี้ ติดลบมากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็พอๆ กับความเลวร้ายของตลาดหุ้นไทยในเวลานั้นเลยทีเดียว หรือถ้าคิดให้เป็นผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี ผลตอบแทนก็ยังคงแย่อยู่ดี เพราะยังติดลบมากถึง 31 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหากดูผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนเลย คือ เมื่อ 8 ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันนี้ จะพบว่ากองทุนยังให้ผลตอบแทนที่สูงถึง 123.68 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว ซึ่งสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้รูปแบบอื่นใดในช่วงเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งที่ทำการวัดผลหลังจากที่เพิ่งเจอวิกฤตไปหมาดๆ ดังนั้น ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะเป็นตลาดที่มีความผันผวนมาก แต่ถ้าระยะเวลาที่ออมเป็นช่วงเวลาที่ยาวมากจริงๆ การออมไว้ในหุ้นจึงยังคงเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดอยู่ดี

เคล็ดลับที่สำคัญของการออมเงินเกษียณไว้ในหุ้น คือ ต้องเป็นการออมแบบซื้อสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ใช่การซื้อๆ ขายๆ เพื่อทำกำไรส่วนต่างไปตลอดทาง ซึ่งอาจจะคิดว่าการซื้อๆ ขายๆ ไปด้วย จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นอีก แต่ที่จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ขาดทุนจากหุ้นก็เพราะการซื้อๆ ขายๆ บ่อยๆ ดังนั้น ในระยะยาวมากๆ ผลตอบแทนของหุ้นจะวิ่งเข้าหาอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทที่ได้ทำการลงทุนไปเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าทำการซื้อๆ ขายๆ ระหว่างทางเพื่อหวังทำกำไรระยะสั้น อาจก่อให้เกิดการซื้อขายผิดจังหวะ ทำให้ผลตอบแทนมีความไม่แน่นอน อาทิเช่น พอดัชนีหุ้นหล่นจาก 900 จุด มาเหลือแค่ 700 จุด ไม่ยอมขาย แต่พอร่วงลงต่อไปอีกจนเหลือเพียงแค่ 380 จุด คราวนี้กลับเทขายออกมา เพราะกลัวว่ามันจะลงต่อไปอีกเหลือแค่ 200 จุด พอขายเสร็จ ตลาดหุ้นก็ขึ้นพอดี จากที่ขาดทุนแค่ชั่วคราว ก็เลยกลายเป็นขาดทุนถาวรไป เป็นต้น

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งของการออมเงินเกษียณไว้ในหุ้น คือ พอร์ตที่ลงทุนจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงที่มากพอด้วย เพราะถ้าหากออมเงินได้นานจริง แต่ลงทุนไว้ในหุ้นแค่ตัวเดียว แล้วบังเอิญหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการที่ล้มเหลวในระยะยาว เงินลงทุนก็คงหายไปหมด ที่จริงแล้ววิธีที่ดีที่สุดในการออมเงินเพื่อเกษียณ คือ การออมด้วยการซื้อกองทุนรวมที่เลียนแบบดัชนี เพราะตราบใดที่ประเทศไทยยังอยู่ โอกาสที่หุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีตลาดหุ้นไทยจะล้มลงไปพร้อมๆ กันนั้น แทบจะไม่มีเลย นอกจากนี้ ยังต้องมีเวลาเหลือที่จะออมก่อนถึงวัยเกษียณไม่ต่ำกว่า 15 ปีด้วย ถึงจะสามารถออมไว้ในหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าการออมเงินในประเภทต่างๆ นั่นเอง
โดยนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ธนาคารทางอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแค่ไหน


ปลอดภัยมาก ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่ที่จริง ธนาคารทางอินเทอร์เน็ตปลอดภัยกว่าการรับส่งอีเมล์ซึ่งเป็นช่องทางหลักสำหรับการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวเสียอีก สำคัญที่สุดคือคุณต้องแน่ใจว่าธนาคารรับประกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น นั่นคือ ธนาคารจะรับผิดชอบต่ออาชญากรรมออนไลน์ที่อาจเกิดกับบัญชีของคุณหากคุณปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐานแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ของคุณใช้ระบบ Firewall (สำหรับ Windows XP อยู่ที่ Windows Security Center ใน Control Panel สำหรับ Vista คลิก Security ใน Control Panel ส่วนเครื่อง Mac อยู่ที่ Sharing ใน System Preferences)

ข้อแนะนำเพื่อการทำธุรกรรมที่ปลอดภัย

- ใช้โปรแกรมท่องอินเทอร์เน็ตที่ทันสมัย ได้แก่ Fire-fox 2, Safari 3 หรือ Inter-net Explorer 6 หรือ 7

- ตั้งเครื่องให้หาโปรแกรมรุ่นล่าสุดโดยอัตโนมัติ สำหรับ Windows XP และ Vista เลือก Automatic Update ได้ที่ System ใน Control Panel สำหรับเครื่อง Mac ตั้ง Software Update ใน System Preferences

- อย่าใช้รหัสผ่านรหัสเดียวกันทุกบัญชีและเว็บไซต์ รหัสผ่านที่ประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์ปกป้องข้อมูลทางบัญชีของคุณได้ดีที่สุด
ลงโปรแกรมป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ให้ติดไวรัส (ซึ่งอาจทำลายแฟ้มข้อมูลของคุณ) และสปายแวร์ (ที่อาจแอบส่งข้อมูลของคุณให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น) โปรแกรมที่ใช้งานง่ายคือ Norton Internet Security 2008 ของ Symantec, Internet Security 7.0 ของ Kaspersky และ Internet Security Suite ของ McAfee

วิธีช่วยสาวประหยัดเงิน เก็บเครื่องสำอางใช้ได้นาน


ช่วยสาวประหยัดเงิน เก็บเครื่องสำอางดีใช้ได้นา

ข้อมูลน่าสนใจใกล้ตัวคุณผู้หญิง เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับความสวยความงามและผลิตภัณฑ์ช่วยประทินโฉม ที่ผู้หญิงทั่วไปต้องใช้เป็นประจำทุกวัน โดย เคธี คอนนอลลี่ คอมลัมนิสต์ นิวส์วีค นิตยสารชั้นนำของสหรัฐ

เนื้อหาของคอนนอลลี่ใช้ชื่อเรื่องว่า "8 วิธีช่วยสาวมั่นใจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสะอาดใช้ได้ดี" เป็นการรวบรวมวิธีช่วยสาวไทยทั้งในและต่างประเทศ ไม่ต้องเผชิญกับผลเสียที่ตามมา จากการใช้หรือเก็บรักษาเครื่องสำอางกับผลิตภัณฑ์ประทินโฉมไม่ดี จนใช้ได้ไม่คุ้มและใช้ได้ไม่นานกับเม็ดเงินที่ต้องจ่ายไป และต้องเสียเงินซื้อหาของใหม่มาใช้แทน

@"ไม่ใช้ร่วมหรือแบ่งใช้"

เป็นหนทางเข้มงวดและกฎเหล็กข้อแรกว่า การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ประทินโฉมร่วมกับคนอื่น แม้จะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือเป็นลูกค้าสนใจรายอื่นที่ร่วมใช้สินค้าทดลองก็ตาม เพราะการใช้ของร่วมกันเป็นหนทางง่ายที่สุดหนทางหนึ่ง ที่จะทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจาย

สาวใดที่ไม่สนใจคำแนะนำหรือคำเตือนข้อนี้ ระวังเถอะว่าคุณอาจติดโรคจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคที่คนไทยรู้จักกันว่า "สังคัง" ซึ่งนำไปสู่อาการระคายเคือง เจ็บและอักเสบของผิวหนัง กลายเป็นผิวที่ไม่น่ามอง และอาการเกิดขึ้นง่ายบริเวณริมฝีปาก หากใช้ลิปสติกเสื่อมคุณภาพหรือใช้ร่วมกันกับคนอื่นๆ ที่อาจมีเชื้อไวรัสก่อโรคซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

การใช้ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางร่วมกัน ยังเพิ่มโอกาสกับความเสี่ยง ที่สาวๆ จะเกิดโรคริมฝีปากอักเสบ ควบคู่ไปกับโรคผิวหนังรอบปากอักเสบด้วย ผลิตภัณฑ์ใช้กับดวงตาและรอบดวงตา เป็นอีกส่วนพึงระวัง การใช้มาสคาร่าหรือผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาร่วมกับคนอื่น อาจทำให้เกิดโรคเยื่อตาขาวอักเสบ หรือโรคตาแดง และขั้นร้ายสุดคือมีไรเกาะขนตา

หากสาวใดต้องการลองใช้เครื่องสำอางตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป ขอให้แน่ใจเสียก่อนว่า ต้องเป็นสินค้าทดลองใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง หรือหากต้องใช้อุปกรณ์กับผลิตภัณฑ์ร่วมกับคนอื่น ลองขอให้พนักงานช่วยทำความสะอาด หรือใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคให้ดี ก่อนจะนำมาใช้จริงบนใบหน้าตนเอง

@"ทิ้งเครื่องสำอางเก่าไม่ใช้แล้ว"

สาวไหนที่มีผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางเก่า หรือผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางใช้ไปแค่ครึ่งเดียวแต่ทิ้งไว้นานแล้ว อย่าคิดเสียดายให้ทิ้งทันที เพราะอายุผลิตภัณฑ์ยิ่งนาน สารที่ใช้ป้องกันการเสื่อมสภาพก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลง

ตามปกติแล้วผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอาง ควรเก็บไว้ในสถานที่เย็น ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่ไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานเปลี่ยนแปลงไป ดร.บาวเวอร์สเตือนว่าการเก็บรักษาปล่อยเครื่องสำอางทิ้งไว้ในรถยนต์โดยเฉพาะในฤดูร้อน อาจเป็นสาเหตุทำให้ผลิตภัณฑ์เสื่อมคุณภาพได้เร็วขึ้น

@"หมั่นเปลี่ยนอุปกรณ์ใช้ทาผิว"

ขอให้จดจำไว้เสมอต้องขยันเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้หรือเกี่ยวข้องกับดวงตาบ่อยครั้ง และยิ่งถ้าตามีอาการแย่หรือติดเชื้ออยู่ขอให้หยุดใช้ก่อน และให้สงสัยก่อนเลยว่า อุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวข้องกับดวงตาอาจมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ และมีโอกาสที่จะติดเชื้อที่ดวงตาจากความไม่รู้ของตนเองได้

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลกับคอนนอลลี่ ช่วยเตือนสาวๆ ว่าควรใช้อุปกรณ์แบบทาอย่างก้านสำลี แปรงปัดหรือฟองน้ำ แทนที่จะใช้นิ้วมือ เพื่อสดความเสี่ยงทำให้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางปนเปื้อนเชื้อโรคที่มาจากเชื้อแบคทีเรียตามผิวหนัง ซึ่ง ดร.บาวเวอร์สแนะนำให้ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนฟองน้ำสัปดาห์ละครั้ง

"ทุกๆ ครั้งที่สาวๆ ใช้ฟองน้ำ จะทำให้เซลล์ผิวหนังตายแล้วติดอยู่ และกลายเป็นแหล่งทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโต ด้วยเหตุนี้ทำให้สาวๆ กลายเป็นสาวใบหน้าเต็มไปด้วยสิวได้ ดังนั้นควรขยันล้างทำความสะอาดแปรงปัดแก้มเดือนละครั้ง ทำความสะอาดขจัดความมันกับแบคทีเรียออกจากแปรง และใช้สบู่อ่อนหรือแชมพูเด็กทำความสะอาด"

@"ไม่ใช้น้ำหรือน้ำลายกับอุปกรณ์"

ผู้หญิงหลายคนชอบอาศัยน้ำลาย ทำให้อุปกรณ์เสริมสวยเปียกก่อนใช้กับผลิตภัณฑ์และเครื่องสำอาง ซึ่งวิธีนี้ไม่น่าจะส่งผลเสียหรืออันตรายได้ แต่คอนนอลลี่ได้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมาเตือนสาวๆ ว่า อย่าคิดทำและต้องไม่ทำเช่นนี้

เพราะภายในปากคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรียนานาชนิด ซึ่งไม่เป็นอันตรายหรือส่งผลเสียต่อปาก แต่แบคทีเรียเหล่านี้กลับไม่ดีต่อดวงตาของคนเรา ยิ่งใช้น้ำแทนน้ำลายก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น ในเมื่อน้ำสามารถทำให้สารใช้กันเสียของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางนั้นๆ เสื่อมคุณภาพลงได้ และเป็นตัวนำเชื้อโรคหรือจุลชีพให้เติบโตอาศัยอยู่ในเครื่องสำอางได้ จนกลายเป็นสาเหตุของการอักเสบติดเชื้อผิวหนัง

@ “อย่าใช้ในรถยนต์”

เวลาที่ผู้หญิงทั่วไปขับรถไปด้วย และแต่งหน้าในรถยนต์ ทำให้เขาค่อนข้างกังวลใจ ด้วยความคิดอยากเตือนให้ระวังดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะเปราะบาง และรักษาดูแลไม่ได้ง่ายๆ ความประมาทเลินเล่ออาจทำให้สาวเผลอใช้แปรงปัดตาถูกกระจกหรือนัยน์ตาเป็นแผลถลอก

ในกรณีข้างต้นดวงตาจึงอ่อนไหวต่อการติดเชื้อขั้นรุนแรง รวมถึงการติดเชื้อแบคทีเรียสเตฟฟีโลคอกคัส ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายแบบถาวร หรืออาจทำให้ตาบอดได้ ไบลีย์เห็นด้วยว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นได้ยาก แต่ที่ผ่านมาอันตรายในลักษณะนี้เคยมีหรือปรากฏมาแล้ว

@"ปิดฝาผลิตภัณฑ์ให้แน่น"

ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางส่วนใหญ่มีส่วนผสมของสารกันเสีย ที่ช่วยขจัดแบคทีเรียและช่วยยืดอายุการใช้งาน แต่ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นเปิดทิ้งรับสภาพอากาศภายนอก ผลิตภัณฑ์จะเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคประเภทจุลชีพ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของสารกันเสียลดลง

การเปิดฝาบรรจุผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอาง ยังเสี่ยงต่อการเปิดรับแบคทีเรีย ซึ่งสารกันเสียที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นไม่สามารถขจัดหรือป้องกันได้ ยิ่งฝาปิดของผลิตภัณฑ์นั้นเปิดไว้นานเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้มีเชื้อโรคมากมายหลายชนิดสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ได้มากเท่านั้น ดังนั้นไบลีย์ย้ำว่าสาวต้องไม่ลืมที่จะปิดฝาบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ ให้แน่น

@"ระวังเมื่อผิวแพ้ง่ายเป็นพิเศษ"

ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางนั้นๆ ใช้ส่วนผสมเป็นธรรมชาติปราศจากสารเคมี และดีเหมาะกับสภาพผิวของสาวๆ ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจดีสำหรับสาวที่ไม่ชอบใช้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางที่มีสารเคมีมากเกินไป แต่ผลเสียจากข้อดีนี้มีอยู่

"สาวๆ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหมาะสมกับผู้หญิงที่มีผิวแพ้ง่าย บางครั้งคิดว่าตนเองปลอดภัยกว่าสาวๆ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางทั่วไป แต่ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย ไม่ได้ใส่สารขจัดหรือป้องกันเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งใส่เอาไว้ในผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทั่วไปใช้กัน"

@"ชำระล้างผิวสะอาดที่สุดก่อนนอน"

ก่อนที่สาวๆ จะเข้านอน อย่าขี้เกียจหรือละเลยทำความสะอาดผิวหนัง โดยเฉพาะใบหน้าและขนตาให้สะอาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งความสะอาดเหมือนกับช่วยให้อวัยวะของตัวเองได้พักผ่อนเต็มที่ด้วย

หากสาวๆ ปล่อยให้มาสคาร่าติดขนตาตลอดคืน มาสคาร่าอาจแห้งและแตกเข้าตา จนกลายเป็นสาเหตุให้เกิดโรคคันที่ผิวหนังรอบดวงตาและเกิดอาการตาแดงได้ ดังนั้นการเช็ดทำความสะอาดใบหน้าและส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ใช้ผลิตภัณฑ์กับเครื่องสำอางให้หมดจดก่อนนอน ต้องทำเป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย

ที่มา : BangkokBizNews



กูรูเทศแนะวิธีฉลาดช้อป


เมื่อรู้แนวทางช่วยเพิ่มเงินออมของสมิธจากเว็บไซต์ฟิเดลิตี้กันแล้ว มาถึงส่วนผสมที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของยา ที่จะใช้เป็นวัคซีนป้องกันวิกฤติเงิน คือการประหยัดเงินเมื่อคิดจับจ่ายซื้อของกินของใช้เข้าบ้าน ในหัวเรื่อง "แนะวิธีฉลาดช้อป" ของ แมรี่ ดัลรีมเพิล คอลัมนิสต์จากเว็บไซต์ ฟูล ดอท คอม มานำเสนอ

1.จ่ายน้อยกว่าเงินที่หามาได้

ไอเดียแรกนี้เจ้าของเงินต้องคิดต้องทำ ก่อนควักเงินจากกระเป๋าซื้อของ ข้อนี้ชัดเจนถือเป็นกฎจำเป็นต้องทำ ต้องท่องไว้ในใจเสมอว่า ไม่มีใครเคยใช้จ่ายเกินรายได้แล้ว จะสามารถไปถึงเป้าหมายความมั่นคงทางการเงินได้

2.ซื้อแต่สิ่งสำคัญจำเป็น

ขอให้ลืมสิ่งของนอกรายการที่อยากได้ไปเลย หากเจ้าของเงินซื้อหาของใช้จำเป็น รองรับความต้องการในการดำรงชีพขั้นพื้นฐานได้ครอบคลุมแล้ว เงินที่เหลือสามารถนำไปใช้อย่างรอบคอบในกิจกรรมอื่นการใช้เงินที่เหลืออย่างรอบคอบ หมายถึงเจ้าของเงินมีความสุขกับการจ่ายเงินซื้อของที่มีประโยชน์และมีคุณค่ากับครอบครัวอย่างแท้จริง และไม่ละทิ้งจุดยืนของตัวเอง แม้เพื่อนบ้านคิดว่าคุณกำลังตระหนี่ถี่เหนียว ด้วยการซื้อของตกรุ่นไม่ทันสมัย

3.ไม่ซื้อเกินจำเป็น

การซื้อหาโดยไม่ทำให้เจ้าของเงิน ต้องควักเงินเกินจำเป็นและเกินงบที่ตั้งไว้ คือการลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะสมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องกินต้องใช้ขอให้คุณจดรายการของไม่จำเป็นไว้ด้านหลัง แต่กำหนดสิ่งจำเป็นไว้หน้าแรก ทำเช่นนี้จะช่วยเจ้าของเงินแยกแยะของใช้ไม่จำเป็นได้ชัดเจน และเกิดความอยากได้สิ่งของไม่สำคัญหรือจำเป็นน้อยลง

4.คำนึงคุณภาพ-อายุใช้งาน

การซื้อต้องได้สินค้าดีที่สุด หมายถึงมีอายุการใช้งานนานที่สุด ให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป เจ้าของเงินต้องหาข้อมูลและมีเหตุผลที่ดี ยิ่งซื้อของชิ้นใหญ่ต้องวางแผนกันนานหน่อย และขอย้ำว่าของที่จะซื้อต้องเน้นคุณภาพและอายุใช้งาน

5.เลิกยึดติดยี่ห้อ

อาจยากที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยใช้ของดีมียี่ห้อ ดัลรีมเพิลขอให้ผู้บริโภคคนไทย ลองเลือกใช้สินค้าอีกยี่ห้อหนึ่งที่มีราคาถูกกว่า หรือสินค้าทางเลือกอื่นๆ ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน แม้ไม่มียี่ห้อดังการันตีบ้างบางโอกาส ถือเป็นการลองใช้สินค้าที่มีคุณภาพเหมือนๆ กัน เพื่อจะได้จ่ายน้อยลง

6.ใจเย็นซื้อ

การซื้อแบบรีบร้อนฉุกละหุก โดยเฉพาะสิ่งของที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ อาจทำให้ผู้ซื้อรู้สึกผิดหวังได้ ก่อนตัดสินใจซื้อ ขอให้คิดนานใจเย็นอีกสักหน่อย จะช่วยเจ้าของเงินประหยัดได้มาก หรืออย่างน้อยเจ้าของเงินยังมีเวลา สามารถประเมินหรือบริหารงบได้ดีขึ้น

7.ชั่งใจอยากซื้อหรือไม่

ไอเดียสุดท้ายนี้ ดัลรีมเพิลแนะให้วัดใจตัวเองก่อน รอสัก 2-3 วัน หรือ สักสัปดาห์หนึ่งค่อยกลับมาดูสิ่งของที่จะซื้อใหม่อีกครั้งหากคิดว่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดสิ่งของที่หมายตาอยากได้ แสดงว่าสิ่งของชิ้นนั้นสำคัญควรค่าแก่การซื้อ แต่หากผู้บริโภคลืมทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งของชิ้นนี้ หมายความว่าสิ่งของกลับไม่มีค่าหรือจูงใจให้ซื้ออีก

----------------

กลวิธี ช้อปประหยัด

1.เล็งสินค้ารุ่นเก่าคงค้าง

เมื่อมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ห้างสรรพสินค้าและร้านทั่วไปจะนำสินค้ารุ่นเก่ายังไม่หมดอายุแต่อาจตกรุ่นมาลดราคา แบบซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อ 8 ชิ้นในราคาเพียง 1 ชิ้น ผู้บริโภคจึงต้องตามดูรายการโปรโมชั่นสินค้าให้ดีการซื้อของแบบซื้อ 1 แถม 1 หรือซื้อ 8 ขวด 8 ถุงจ่ายในราคา 1 ขวด 1 ถุง เมื่อมีโอกาสควรซื้อไว้เลย เพราะผู้จำหน่ายต้องการกระจายสินค้าล็อตเก่าให้หมด ก่อนจะนำสินค้าปรับรสชาติใหม่เข้ามาแทน

2.หมั่นสำรวจสินค้าห้าง

ถ้าคิดจะประหยัดซื้อของกินของใช้เข้าบ้าน หวังราคาถูกสุดนั้น ต้องใช้เวลาเปรียบเทียบราคาก่อน เช่น การซื้อชีสสักยี่ห้อหนึ่ง ปกติแล้วจะซื้อจากเคาน์เตอร์ขายในห้างใดก็ได้ เพราะเป็นชีสยี่ห้อเดียวกัน แต่ว่าแต่ละเคาน์เตอร์ของแต่ละห้างและแต่ละร้าน ราคาเคาน์เตอร์ห้างหนึ่งอาจถูกกว่าอีกห้างหนึ่ง

3.ลองใช้แบรนด์ห้าง

ยี่ห้อที่ห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ใช้นั้น ผลิตจากผู้ผลิตกลุ่มเดียวกันกับที่ผลิตให้บริษัทชื่อดัง ซึ่งปกติผู้บริโภคชื่นชอบและนิยมซื้อ เพียงแต่มีความแตกต่างกันเรื่องของราคา อย่างบร็อคโคลีหั่นสำเร็จรูปแช่แข็งหนัก 14 ออนซ์ เมื่อนำมาติดยี่ห้อของห้างที่จำหน่าย ราคาจะลดถูกลงถึง 44% เมื่อเทียบกับแบรนด์ดัง

4.ซื้อสินค้ารุ่นเก่าไม่หมดอายุ

เมื่อใดห้างลดราคาสินค้า สินค้าลดราคาอาจไม่ใช่สินค้าไม่ดีหรือไม่ปลอดภัยไม่ควรบริโภค แต่สินค้ากลุ่มนี้อาจเป็นล็อตเก่า และไม่ต้องการขายความสดใหม่หรืออาจมีตำหนิภายนอก ที่ไม่มีผลต่อคุณภาพสินค้าภายในบรรจุภัณฑ์

5.ขยันหา-ใช้คูปองส่วนสด

ด้วยคูปองที่ตัดมาได้จากหนังสือพิมพ์ทั่วไป หรือลงโฆษณาตามนิตยสาร รวมถึงบัตรลดกับรายการส่งเสริมการขายวันธรรมดา ทำให้ผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อยแหล่งซื้อไม่ได้อยู่ตามห้างเท่านั้น เพราะร้านขายยาบางแห่งขายนมในราคาถูกกว่า และการซื้อผ่านออนไลน์ได้ส่วนลดอย่าง Amazon.com ที่ไม่คิดค่าส่งแถมให้ส่วนลดเพิ่ม หากสั่งซื้อในจำนวนหรือปริมาณมาก